นาย Kazama Toshio กรรมการฝ่ายบริหารและรองผู้อำนวยการ ฟู้หมี 3 |
เมื่อปี 2018 นิคมอุตสาหกรรมฟู้หมี 3 ในตำบลเฟือกหว่า อำเภอเมืองฟู้หมี จังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่า ได้รับการก่อตั้งตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเวียดนามกับรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบัน นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้สามารถดึงดูดสถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมหนักและเคมีจากประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี จีนและประเทศอียู 44 แห่ง รวมยอดเงินลงทุนราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
นาย Kazama Toshio กรรมการฝ่ายบริหารและรองผู้อำนวยการ ฟู้หมี 3 เผยว่า ใน 5 เดือนแรกของปี 2024 ฟู้หมี 3 สามารถดึงดูดสถานประกอบการเอฟดีไอ 6 แห่ง รวมเงินลงทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถึงขณะนี้ มีสถานประกอบการ 2 แห่งได้รับใบอนุญาตและอีก 4 แห่งกำลังทำระเบียบราชการขอใบอนุญาต สำหรับความได้เปรียบของจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่าในการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ นาย Kazama Toshio ยืนยันว่า
“ระบบคมนาคมของเวียดนามนับวันดีขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่า โครงการต่างๆ เช่น ระบบไฮเวย์เบียนหว่า – หว่าหวุงเต่า เบ๊นลึก – ลองแถ่งหรือการก่อสร้างสะพานเฟือกอานที่เชื่อมระหว่างจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่ากับจังหวัดด่งนายก็เกือบเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งจะเปิดใช้งานในปลายปี 2025 จะช่วยให้นิคมอุตสาหกรรรมฟู้หมี 3 ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงกับนครโฮจิมินห์เท่านั้น หากยังช่วยให้การเดินทางไปยังเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง จังหวัดด่งนายและจังหวัดบิ่งเยืองมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น”
จากการตระหนักว่าต้องดึงดูดการลงทุนเอฟดีไอให้มากขึ้น โครงสร้างสาธารณูโภคพื้นฐานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้น นอกจากเร่งเสร็จสิ้นระบบคมนาคมภายในจังหวัดแล้ว ทางจังหวัดยัผลักดันการก่อสร้างระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงกับจังหวัดอื่นๆ และภายในเขตอีกด้วย เมื่อปี 2023 จังหวัดฯ ได้ปฏิบัติโครงการใหญ่ 3 โครงการคือถนนไฮเวย์เบียนหว่า – หวุงเต่า สะพานเฟือกอาน ซ่อมแซมและขยายถนนเลียบชายฝั่ง หวุงเต่า – บิ่งถวนให้กว้างขวางมากขึ้น นาย เหงียนวันท้ำ ประธานคณะกรรมการอำเภอเมืองฟู้หมี กล่าวว่า
“เพื่อสนับสนุนให้แก่กลุ่มท่าเรือก๊ายแม๊บ – ถิหวาย ทางจังหวัดกำลังก่อสร้างเส้นทาง 991B ที่เชื่อมระหว่างถนน 992 กับทางเข้าถนนไฮเวย์ เบียนหว่า – หวุงเต่า พร้อมทั้งวางแผนก่อสร้างถนนหมายเลข 4 (นครโฮจิมินห์) เพื่อเชื่อมกับจังหวัดด่งนายและทางเข้าถนนไฮเวย์เบียนหว่า – หวุงเต่า ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น”
ไม่เพียงแต่พัฒนาระบบคมนาคมเท่านั้น แต่ความได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ บรรยากาศการลงทุนที่สะดวกและการสนับสนุนของทางการท้องถิ่นจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่าก็ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยให้นักลงทุนเอฟดีไอตัดสินใจเข้ามาลงทุนในจังหวัดมากขึ้น นาย ชาญศักดิ์ จิระวัฒน์พงศา (Chansak Chirawatpongsa) ผู้อำนวยการบริษัท เคมีลองเซิน จำกัดหรือ LSP เผยว่า โครงการโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและที่ใหญ่ที่สุดของไทยในประเทศเวียดนามที่ใช้เงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1 ใน 3 เงินลงทุนทั้งหมดของไทยในเวียดนามจะเปิดดำเนินการแบบเต็มกำลังการผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ นับตั้งแต่ที่เริ่มประกอบธุรกิจในเวียดนามเมื่อปี 2018 มาจนถึงปัจจุบัน ทางบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากในการทำระเบียบราชการและนโยบายภาษี
“จังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่ามีบุคลากรที่มีความสามารถ พร้อมสนับสนุนนักลงทุนเอฟดีไอในทุกขั้นตอนและเข้าใจเรา นอกจากนี้ ทางการจังหวัดก็ให้คำปรึกษาเพื่อให้บริษัท LSP ของเราสามารถพัฒนาโครงการต่างๆ ได้อย่างสะดวก”
โครงการโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกและที่ใหญ่ที่สุดของไทยในประเทศเวียดนามที่ใช้เงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
จังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่ายังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนเอฟดีไอ โดยจัดสรรค์ข้องมูลข่าวสารและระเบียบราชการอย่างชัดเจนและโปร่งใส ช่วยให้นักลงทุนเอฟดีไอสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและตัดสินใจเข้ามาลงทุนได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากประกาศแผนการวางผังของจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่าระยะปี 2021-2030 และวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ทางการจังหวัดฯ ได้จัดทำโครงการต่างๆ เพื่อปฏิบัติแผนการนี้ โดยจนถึงขณะนี้ ได้จัดทำรายชื่อการลงทุนภาครัฐ การลงทุนนอกงบประมาณแผ่นดินและแนะนำสถานที่ลงทุนในด้านต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม ท่าเรือ โลจิสติกส์ ตัวเมือง การบริการการท่องเที่ยว เป็นต้น นาย เลหงอกลิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานวางแผนและการลงทุนจังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่า ได้ยืนยันว่า ทางการจังหวัดฯ ให้ความสนใจเป็นพิเศษถึงการปฏิรูประเบียบราชการ การปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล พยายามบรรลุเป้าหมายทางการปกครองดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมดิจิทัลของพรรคและรัฐ การตั้งใจปรับปรุงระเบียบราชการได้ช่วยให้ดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันของจังหวัดฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนดัชนีอื่นๆ ก็กำลังเพิ่มขึ้นติดอันดับ 1 ของประเทศ
“ในการดึงดูดนักลงทุน จังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่าตระหนักได้ดีว่า ต้องมีการคัดเลือกโครงกาขนาดใหญ่ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เทคนิคขั้นสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเคารพสิทธิของแรงงาน นอกจากนี้ ทางเราก็พยายามปรับปรุงบรรยากาศการลงทุนและประกอบธุรกิจให้ดีขึ้นและเดินพร้อมกับสถานประกอบการทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อค้ำประกันให้การประกอบธุรกิจของนักลงทุนมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
การที่จังหวัดบ่าเหรียะ – หวุงเต่าเป็นท้องถิ่นนำหน้าในการดึงดูดเงินลงทุนเอฟดีไอของประเทศในหลายเดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ ในการปฏิรูประเบียบราชการ การปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน การผลักดันการก่อสร้างโครงการคมนาคมต่างๆ ได้เกิดประโยชน์ต่อจังหวัดฯ ซึ่งสร้างพื้นฐานให้จังหวัดกลายเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาของเขตภาคใต้ตอนบนและศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเลของประเทศในอนาคต.