ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน (https://nhandan.vn) |
ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์หญิงไม่กี่คนที่ติดกลุ่มรายชื่อนักวิจัยเจ้าของผลงานที่ถูกอ้างอิงถึงมากที่สุดในโลกหรือ HCR ซึ่งคิดเป็นเพียง1%จากรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกว่า 4,000 คนเท่านั้น โดยผลงานวิจัยของศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน มีความเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางอิเล็กทรอนิกส์ของโพลีอิเล็กโทรไลต์คอนจูเกต อินเทอร์เฟซในอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างและการขนส่งประจุในสารกึ่งตัวนำอินทรีย์ วัสดุใหม่สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์อินทรีย์ เป็นต้น เมื่อกล่าวถึงการเลือกวิจัยวัสดุใหม่สำหรับการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารอินทรีย์ ศาสตรจารย์ เกวียน เผยว่า เธอเติบโตมาในบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์
“ดิฉันเห็นว่า ปัญหาพลังงานของเวียดนามมีความสำคัญมาก และเวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านนี้ เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังพัฒนาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ดิฉันยังหวังว่า เวียดนามจะมีวิสัยทัศน์ที่ดียิ่งขึ้นในเรื่องการรีไซเคิลในระดับโลก เวียดนามสามารถลงทุนในการทำวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล่านั้น เช่น การรีไซเคิลพลาสติกหรือลดการใช้ให้น้อยลง และหันมาใช้วัสดุธรรมชาติที่เรามีจำนวนมาก หรือพัฒนาจนสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ได้ก็จะทำให้เวียดนามนำหน้าประเทศอื่น ๆ 15-20 ปี”
นาง เหงียนถุกเกวียน เกิดเมื่อปี 1970 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 5 คนในหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบวนมาถวด จังหวัดดั๊กลัก เมื่ออายุ 21 ปี นาง เกวียน กับพ่อแม่และพี่น้องของเธอย้ายไปอยู่ที่สหรัฐ ซึ่งศาสตราจารย์ เกวียน เล่าว่า ในช่วงสองปีแรก เธอร้องไห้หลายครั้งแล้วขอกลับเวียดนามเพราะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษและขนบธรรมเนียมแปลกๆ สิ่งที่ยากที่สุดคือภาษา ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้ล่าม และเส้นทางที่นำเธอไปสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์แตกต่างจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ เพราะเธอสนใจวิชาประวัติศาสตร์โลก วรรณกรรมและภูมิศาสตร์ แต่เนื่องจากประสบปัญหาด้านภาษา เธอจึงไปเรียนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งนั่นทำให้พบว่าเธอมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มสนใจวิชาเคมีและเริ่มเดินตามเส้นทางนี้
เมื่อเดือนกันยายนปี 1995 เธอสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองลอสแองเจลิส และทำงานพาร์ทไทม์ในห้องปฏิบัติการด้วยการล้างอุปกรณ์ ถึงแม้สนใจงานวิจัยแต่เธอไม่ได้ถูกรับเข้าทำงาน และได้รับคำแนะนำให้เรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอได้เก็บคำแนะนำดังกล่าวมาคิดและเห็นว่า “ไม่มีใครสามารถขวางเราในการทำให้ความฝันกลายเป็นความจริงได้” โดยเธอเข้าร่วมชั้นเรียนภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติ 4 ชั้นเรียน และไปเรียนที่ศูนย์ฝึกอบรมสำหรับนักศึกษา นอกจากนี้ เธอยังทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารและร้านทำเล็บเพื่อจะได้มีเงินไปเรียน หลังจากเรียนจบเมื่อปี 1997 เธอสมัครเรียนปริญญาโท และหลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอก็ได้รับปริญญาโทสาขาฟิสิกส์-เคมี เธอตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาเอก และในปีสุดท้าย เธอได้กลายเป็น 1 ใน 7 นักศึกษาปริญญาเอกระดับเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและได้รับทุนการศึกษา ต่อมาในปี 2004 เธอได้เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บาราหรือ UCSB
5 ปีแรกถือเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน ยังคงพยายามเป็นอย่างมากเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่น ๆ เห็นถึงคุณค่าและความสามารถของเธอ จนถึงปัจจุบัน เธอมีห้องปฏิบัติการส่วนตัว 7 ห้องและมีทีมวิจัยของตนเอง
“สำหรับศาสตราจารย์คนอื่น ๆจะมีห้องปฏิบัติการของตนเองและยังได้รับเงินสนับสนุนด้วย แต่สำหรับดิฉัน ตอนที่เข้าทำงานที่มหาวิทยาลัย ดิฉันต้องขอผู้บริหารหลายครั้งและต้องรอกว่า 2 ปีถึงจะมีห้องปฏิบัติการของตัวเอง”
ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน เป็นประธานร่วมของคณะกรรมการตัดสินรางวัล VinFuture ของกลุ่มบริษัท Vingroup ซึ่งเขา รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เวียดนามมีการมอบรางวัลวิทยาศาสตร์ที่มีคุณค่านี้ ทำให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์นานาชาติมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีรางวัลสำหรับนักวิทยาศาสตร์หญิง
รางวัล Vinfuture มีความหมายมาก รางวัลนี้ไม่ใช่แค่ของกลุ่มบริษัท Vingroup เท่านั่น หากยังเป็นของประชาชาติเวียดนามอีกด้วย เพราะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วโลกรู้จักเวียดนามมากขึ้น อีกทั้งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างวงการวิทยาศาสตร์เวียดนามกับโลก”
ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน กำลังมีแผนการที่จะก่อสร้างสถาบันวิจัยที่มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยและเปิดเวิร์กช็อปเพื่อเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของเวียดนามกับวงการวิทยาศาสตร์โลก เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เวียดนามได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในโลก เพื่อปฏิบัติความฝันในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้เจริญเข้มแข้งมากขึ้น.