( VOVworld )-
วันที่ ๙ กันยายนค.ศ.๑๙๖๙ พิธีศพประธานโฮจิมินห์ได้จัดขึ้น ณ จัตุรัสบาดิ่นห์ กรุงฮานอยตามแบบรัฐพิธีท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ที่ถึงกับร้องไห้ของผู้เข้าร่วมงานหลายหมื่นคน นายมิซาว อิชิกากิ นักถ่ายทำภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทโทรทัศน์นิฮอน เดนปา นิวส์หรือเอ็นดีเอ็นของญี่ปุ่นประจำเวียดนามได้เข้าร่วมเหตุการณ์และถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีสีเกี่ยวกับช่วงเวลานาทีแห่งประวัติศาสตร์และโศกเศร้านั้น ภาพยนตร์มีความยาว ๑๐ นาที เดือนกันยายน ๒๐๑๔ ที่ผ่านมา นาย มิซาว อิชิกากิ ได้กลับมาเวียดนามและเยือนจัตุรัสบา ดิ่นห์ และท่านได้เล่าถึงอนุสรณ์ของตนก่อนหน้านี้ ๔๕ ปีในวันที่ ๙ กันยายนค.ศ.๑๙๖๙
เทปภาษาเวียดนาม-๑-คำบรรยายในภาพยนตร์
“ ท่านได้สู่สุคติ พวกเราส่งถึงท่านคำมั่นแห่งเกียรติยศผ่านฝูงนกพิราบว่า พวกเราจะชูธงเอกราชแห่งชาติ ปักใจรบจนชนะสหรัฐอเมริกาผู้รุกรานให้ได้ ”
นายมิซาว-ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นดีเอ็น
มีผู้สื่อข่าวต่างชาติประจำเวียดนามไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจความในใจและความปรารถนาของประธานโฮจิมินห์และสามารถถ่ายทอดความปรารถนานี้ผ่านภาพฝูงนกบินผ่านพิธีศพด้วยถ้อยคำที่สละสลวยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาต่อมหาบุรุษของเวียดนามเท่ากับนายมิซาว อิชิกากิ นักข่าวบริษัทโทรทัศน์ นิฮอน เดนปา แม้มาประจำเวียดนามยังไม่ถึงหนึ่งเดือน และภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับพิธีศพประธานโฮจิมินห์เป็นผลงานชิ้นแรกของท่านในเวียดนาม นายมิซาวเล่าว่า “ ผมมาเวียดนามในฐานะหัวหน้าสำนักงานตัวแทนบริษัทโทรทัศน์นิฮอน เดนปาประจำเวียดนาม สามสัปดาห์ให้หลัง ตอนเช้าของวันหนึ่งที่ผมเพิ่งตื่นขึ้น ผมได้ยินเพลงไว้อาลัยที่โศกเศร้ามาก และเหลือบตามองตามถนนเห็นความเศร้าปรากฎบนใบหน้าของประชาชนทุกคน บางคนติดผ้าดำบนหน้าอกเสื้อหรือที่แขนของตน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองนี้เพราะสื่อสารภาษาเวียดนามไม่เป็น แต่ก็สามารถเดาได้ว่า มีเหตุการณ์ใหญ่กำลังเกิดขึ้นในนครหลวงฮานอย ต่อมาผมได้รับข่าวจากสำนักงานใหญ่ ณ กรุงโตเกียวส่งมา ”
ชาวเวียดนามร้องไห้อาลัยท่าน
โฮจิมินห์
ประธานโฮจิมินห์ถึงแก่อสัญกรรมก็ทำให้นายมิซาว อิชิกากิ ไม่ได้มีโอกาสเข้าคารวะท่านในฐานะหัวหน้าสำนักงานตัวแทนของเอ็นดีเอ็นประจำเวียดนาม นายมิซาว อิชิกากิ เล่าว่า วันนั้นท้องฟ้าฮานอยใสและมีแดดจ้า ชาวเวียดนามหลายหมื่นคน ณ จัสตุรัสบาดิ่นห์ร้องไห้ ซึ่งเสียงร้องไห้นั้นดูเหมือนกังวาลไปทั่วท้องฟ้า
นายมิซาว อิชิกากิ ยังจำภาพพิธีศพประธานโฮจิมินห์ ณ จัสตุรัสบาดิ่นห์ก่อนหน้านี้ ๔๕ ปี ซึ่งขณะนั้นบรรดาผู้นำพรรคและรัฐพร้อมแขกเหรื่อยต่างชาติยืนอยู่บนอัฒจรรย์ส่วนด้านล่างคือทะเลคน นายมิซาวได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมอาชีพจนสามารถหามุมถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับพิธีศพประธานโฮจิมินห์ได้อย่างสะดวก ดังนั้นนายมิซาวสามารถถ่ายภาพในหลายมุมจากไกลถึงใกล้ เขาสามารถถ่ายภาพใบหน้าและดวงตาของไม่ว่าผู้นำสูงสุดหรือประชาชนคนธรรมดาที่สะท้อนความเคารพศรัทธาต่อมหาบุรุษโฮจิมินห์ นายมิซาวเล่าต่อไปว่า “ ผมถ่ายภาพใบหน้าทุกคนที่เต็มไปด้วยน้ำตา มีท่านหนึ่งที่ไม่ร้องไห้นั่นคือพลเอกหวอ เงวียน ย้าป ผมเข้าใจเหตุผลที่ท่านพลเอกไม่ร้องไห้เพราะท่านเป็นนายทหารที่ต้องกลั้นน้ำตาไว้กลั้นความปวดร้าวใจของตนเอาไว้เพราะท่านไม่อยากให้ทุกคนเห็นท่านร้องไห้ ท่านพลเอกเก็บความโศกเศร้านี้ไว้ในใจของตน ”
ภาพที่นายมิซาวประทับใจและจดจำอย่างไม่ลืมเลือนคือ ภาพบรรดาผู้นำเวียดนามลงจากอัฒจรรย์ไปปลอบใจประชาชนที่กำลังร้องไห้ ซึ่งเสียงร้องไห้ของหลายหมื่นคนได้กลายเป็นพลังความสามัคคีประชาชนเวียดนามทั้งชาติ นายมิซาวกล่าวว่า “ ผมถ่ายภาพนายกฯฝ่าม วัน ด่งห์กอดเด็กๆที่กำลังร้องไห้ในลักษณะเรียกร้องให้พาลุงโฮมาให้หนูให้ได้ ท่านฝ่าน วัน ด่งยืนท่ามกลางเด็กๆที่กำลังกอดกันร้องไห้ นี่นับเป็นภาพที่ผมยังจำได้จนถึงปัจจุบัน ”
ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับพิธีศพประธานโฮจิมินห์ได้ทำให้คุณฮิโรโกะ โยชิดะ ที่ทำหน้าที่เอดิตภาพยนตร์ของบริษัทเอ็นดีเอ็นรู้สึกบอกไม่ถูก เธอได้ตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเป็นข่าวแพร่ภาพทางสถานีฯ แล้วจัดทำเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว คุณฮิโรโกะกล่าวว่า “ พวกเราเร่งจัดทำใหม่ตั้งแต่การพากย์เสียงและใส่เสียงดนตรีและแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์สู่สายตาผู้ชม พวกเราวิตกกังวลมากเพราะสงครามต่อต้านของเวียดนามกำลังอยู่ในระยะที่ดุเดือนที่สุดแต่ท่านโฮจิมินห์ที่เป็นผู้นำและผู้บัญชาการได้จากประชาชนเวียดนามไปอย่างไม่มีวันกลับก็ไม่รู้สถานการณ์ตั้งแต่นั้นมาจะเป็นอย่างไร ”
ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับพิธีศพประธานโฮจิมินห์ได้ฉายทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่องของญี่ปุ่น สถานีฯของสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกต่างๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นสานส์เกี่ยวกับการรักษาสันติภาพ การต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชและความเคารพรักประธานโฮจิมินห์ของประชาชนเวียดนามที่ส่งถึงประชาชนทั่วโลกโดยเฉพาะชาวอเมริกัน
เทปภาษาเวียดนามเกี่ยวกับภาพยนตร์สารคดีตอนสุดท้าย
ความปรารถนาของประธานโฮจิมินห์ในตลอดชีวิตของตนจักกลายเป็นความจริง เพราะท่านจะสถิตอยู่กับผืนแผ่นดินเวียดนาม นามของท่านจะสลักในหัวใจและจิตใจของประชาชนเวียดนามตลอดมาและตลอดไป ./.