ปัจจุบัน การเดินทางจากกรุงฮานอยไปยังด่านชายแดนม๊องก๊ายของจังหวัดกว๋างนิงห์ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ถนนไฮเวย์หล่าวกาย-กรุงฮานอย-ไฮฟอง-ฮาลอง-ม๊องก๊าย ได้ช่วยเชื่อมด่านชายแดนขนาดใหญ่ต่างๆ ทางภาคเหนือ โดยใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งมีส่วนช่วยให้จังหวัดกว๋างนิงห์ เป็นศูนย์กลางและเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ด้านการลงทุน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้จังหวัดนี้มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงเป็นเลขสองหลัก 7 ปีติดต่อกัน นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ได้ยืนยันว่า

“ถนนไฮเวย์รวมระยะทาง 176 กิโลเมตรนั้นได้สร้างการเชื่อมต่อระหว่างสามขั้วแห่งการเจริญเติบโตคือ กรุงฮานอย – ไฮฟอง – จังหวัดกว๋างนิงห์ ทำให้จังหวัดกว๋างนิงห์กลายเป็นทางผ่านเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-อาเซียน อาเซียน-จีน เขตความร่วมมือ ‘สองระเบียง หนึ่งแถบเศรษฐกิจ’ เวียดนาม-จีน มีส่วนช่วยขยายความร่วมมือระหว่างภูมิภาคในเขตอ่าวทะเลตะวันออก พร้อมสร้างพลังขับเคลื่อนอย่างเข้มแข็งให้แก่การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคในเขตเศรษฐกิจพิเศษทางเหนือและเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง”

ปี 2022 ถือเป็นหมุดหมายแห่งความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างจังหวัดกว๋างนิงห์กับกลุ่มพื้นที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงด้านการคมนาคมขนส่ง โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จังหวัดกว๋างนิงห์ เมืองไฮฟอง จังหวัดหายเยือง และจังหวัดฮึงเอียน ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเลียบตามถนนไฮเวย์สายตะวันออก โดยมีถนนไฮเวย์ฮานอย-ม๊องก๊าย ที่เชื่อมนิคมอุตสาหกรรม เขตเมือง และท่าเรือหลายแห่ง รวมถึงสนามบินนานาชาติก๊าดบีและสนามบินนานาชาติเวินโด่น เป็นเส้นทางหลัก ซึ่งพื้นที่รวมใหญ่กว่ากรุงฮานอย 3 เท่า นครโฮจิมินห์ 5 เท่า และนครดานัง 8 เท่า โดยความเชื่อมโยงดังกล่าวจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละจังหวัดและเมือง ให้การสนับสนุนกันเพื่อสร้างเขตเศรษฐกิจที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่ดีที่สุดของประเทศ ด้วยกลุ่มนักธุรกิจที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างพื้นที่แห่งการพัฒนาใหม่ เป็นต้น

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จังหวัดกว๋างนิงห์ เมืองไฮฟอง จังหวัดหายเยือง และจังหวัดบั๊กยาง ได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมืออย่างรอบด้านหลายฉบับ โดยโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งยังคงได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ สะพานเบ๊นหรึ่ง ที่เชื่อมอำเภอถวีเงวียนของเมืองไฮฟองกับตำบลกว๋างเอียนของจังหวัดกว๋างนิงห์ ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2022 ส่วนโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 342 ที่เชื่อมเมืองฮาลองกับอำเภอเขตที่ราบสูงบาแจ๋ของจังหวัดกว๋างนิงห์และจังหวัดหล่างเซิน ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยทางการจังหวัดหล่างเซินได้เสร็จสิ้นการดำเนินขั้นตอนการลงทุนเพื่อเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 4B นาย เจิ่นวันเวือง รองผู้อำนวยการสำนักงานคมนาคมและขนส่งจังหวัดหล่างเซิน เผยว่า

“เมื่อถนนนี้ได้รับการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะช่วยให้การค้าระหว่างจังหวัดหล่างเซินกับจังหวัดกว๋างนิงห์มีการพัฒนามากขึ้น เนื่องจากเป็นถนนที่เชื่อมตรงจากอำเภอดิ่งเหลิบไปยังเมืองฮาลอง รวมถึงเชื่อมจังหวัดหล่างเซินกับกรุงฮานอยผ่านจังหวัดกว๋างนิงห์และเมืองไฮฟอง ซึ่งถือเป็นถนนออกแบบมาเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว”

สำหรับจังหวัดหายเยืองจะมีการเชื่อมต่อกับถนนไฮเวย์เลียบแม่น้ำที่เชื่อมตำบลโดงเจี่ยวที่ทางการจังหวัดกว๋างนิงห์กำลังดำเนินการก่อสร้าง ส่วนการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 37 รวมถึงถนนหมายเลข 291 จากตำบล เตยเอียนตื๋อ ไปยังทางหลวงหมายเลข 279 จะช่วยทำให้จังหวัดบั๊กยางมีถนนที่เชื่อมต่อไปยังเขตพื้นที่ทะเลในอนาคตอันใกล้ นาย เหงวียนซวนกี๊ เลขาธิการพรรคสาขาและประธานสภาประชาชนจังหวัดกว๋างนิงห์ ได้ยืนยันว่า

“จังหวัดกว๋างนิงห์ ได้ให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงเพื่อทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเชิงยุทธศาสตร์มีความสมบูรณ์แบบ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงภายในภูมิภาคและความร่วมมือระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นคือการสร้างระเบียงการคมนาคมขนส่งเพื่อจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจและระเบียงชุมชนเมือง อีกทั้งใช้ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่นต่างๆ”   

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2021-2030 และวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ทางการจังหวัดกว๋างนิงห์จะทำการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งระดับประเทศระหว่างถนนไฮเวย์ 3 สาย ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย – จังหวัดบั๊กนิงห์ – เมืองฮาลอง ; เตียนเอียน – หล่างเซิน – กาวบั่ง ; ไฮฟอง – ฮาลอง – เวินโด่น – ม๊องก๊าย ซึ่งถนนทุกเส้น รวมถึงสะพานและท่าเรือต่างๆ เป็นโครงการที่แสดงถึงความหวังและความเชื่อมั่น ในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกรุงฮานอยกับท้องถิ่นต่างๆ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทางเหนือ พร้อมเปิดโอกาสมากมายให้แก่การพัฒนาของแต่ละท้องถิ่นในอนาคต.