(VOVworld) – นอกจากความร่วมมือในด้านสำคัญๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมแล้ว บนเส้นทางการเสริมสร้างความสัมพันธ์เวียดนาม – สหรัฐในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ก็ยังประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา สาธารณสุขและมนุษยธรรมรวมอยู่ด้วย
คนรุ่นใหม่คือสะพานเชื่อมเพื่อสมานแผลความสัมพันธ์เวียดนาม – สหรัฐที่เกิดขึ้นในอดีต ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเวียดนามกับสหรัฐกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 1995 จำนวนนักศึกษาเวียดนามที่ศึกษาในประเทศสหรัฐมีแค่ 800 คนเท่านั้นส่วนมูลค่าการค้าต่างตอบแทนอยู่ที่กว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปัจจุบันนี้ มูลค่าการค้าต่างตอบแทนได้เพิ่มขึ้นเป็น 3หมื่น 5 พันล้านเหรียญสหรัฐและจำนวนนักศึกษาได้เพิ่มขึ้นเป็น 17,000 คน มากเป็นอันดับ 1 ในบรรดาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอยู่อันดับที่ 8 ของโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หลังการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติมาเป็นเวลา 20 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐได้พัฒนาในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านการศึกษา นาย Ted Osius เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเวียดนามย้ำว่า “ผมให้ความสนใจถึงการผลักดันความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศ เพื่อมุ่งสู่การก่อตั้งมหาวิทยาลัย FullBright ในเวียดนาม ผมอยากให้ FullBright ไม่เพียงแต่เป็นมหาวิทยาลัยดีที่สุดในเวียดนามเท่านั้น หากยังมีคุณภาพระดับโลกอีกด้วยและหวังว่า เราจะสามารถขยายความสัมพันธ์ร่วมมือทวิภาคีในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เทคนิกและสาธารณสุขต่อไป ซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศร่วมมือกันเป็นอย่างดีในเวลาที่ผ่านมา”
ปัจจุบันนี้ มีนักศึกษาเวียดนามที่เรียนจบจากโครงการ FullBright
กว่า 1,100 คน (Photo Internet)
|
ปัจจุบันนี้ มีนักศึกษาเวียดนามที่เรียนจบจากโครงการ FullBright กว่า 1,100 คน ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญในหน่วยงานทุกระดับตามนครและจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ นอกจากความพยายามร่วมมือของรัฐบาลทั้งสองประเทศแล้ว มหาวิทยาลัยต่างๆของเวียดนามและสหรัฐก็เป็นฝ่ายรุกในการประสานงาน แลกเปลี่ยนและร่วมมือกันในด้านการศึกษา สิ่งที่น่าสนใจคือนับวันยิ่งมีโครงการแลกเปลี่ยนการศึกษาหรือความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองประเทศ รวมทั้งระดับประถมศึกษามากขึ้นโดยเมื่อปี 2013 โรงเรียนมัธยมนานาชาติเวียดนาม ณ กรุงฮานอยได้พานักเรียนกลุ่มแรกไปสหรัฐในกรอบโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนกับโรงเรียนมัธยม George Washington นายเหงียนวิงเติม ประธานกรรมการโรงเรียนมัธยมนานาชาติเวียดนามเผยว่า
“โครงการนี้ได้สร้างพื้นฐานที่ดีให้แก่นักเรียนเวียดนามและนักเรียนสหรัฐเพื่อให้พวกเขามีความเข้าใจ มีความสามัคคีและใกล้ชิดกันมากขึ้น ตามความคิดเห็นของผม พวกเราควรปิดฉากอดีตเพื่อมุ่งสู่อนาคตให้แก่คนรุ่นใหม่ เมื่อนักเรียนเวียดนามมีความเข้าใจเกี่ยวกับสหรัฐและนักเรียนสหรัฐมีความเข้าใจเกี่ยวกับคนและประเทศเวียดนาม พวกเขาจะเป็นผู้สานต่อสิ่งที่ดีให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป”
ควบคู่กับการศึกษา ความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองประเทศก็ได้รับความสนใจพัฒนามากขึ้น โดยตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ ก็มีความร่วมมือใหม่ๆในด้านนี้ เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การวิจัยวัคซีน การวิจัยทางระบาดวิทยา การป้องกันและปราบปรามโรคระบาด รวมทั้งโรคเอดส์ นาย Joakim Parker ผู้อำนวยการองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างชาติของสหรัฐหรือ USAID ประจำเวียดนามเผยว่า ในตลอดเวลา 5 ปี คือตั้งแต่ปี 2014- 2018 USAID จะใช้เงินทุน 334 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อปฏิบัติโครงการช่วยเหลือในหลายด้าน “ตั้งแต่ปี 2000 USAID ได้จัดสรรเงินประมาณ 680 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่ดครงการช่วยเหลือต่างๆในเวียดนาม ภายใต้การอุปถัมภ์ของโครงการ PEPFAR พวกเราได้เน้นช่วยเหลือผู้ที่ติดโรคเอดส์และองค์กรที่ปฏิบัติงานกับพวกเขา นอกจากนี้ พวกเรายังให้การช่วยเหลือเพื่อยกระดับทักษะความสามารถในการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกและมีความยินดีว่า โครงการนี้กำลังได้รับการปฏิบัติตรงตามเวลาที่กำหนด”
“ปิดฉากอดีต มุ่งสู่อนาคต”
|
บนเจตนารมณ์ “ปิดฉากอดีต มุ่งสู่อนาคต” 20 ปีหลังจากที่สหรัฐและเวียดนามได้ปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ นับวันยิ่งมีองค์การต่างๆ ทหารผ่านศึกสหรัฐและผู้ที่เคยเข้าร่วมสงครามเวียดนามได้กลับมาประเทศเวียดนามเพื่อมีส่วนร่วมสมานแผลสงครามผ่านรูปแบบต่างๆ ผลักดันความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ โครงการต่างๆได้มีส่วนร่วมช่วยให้ประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่เคยเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดในอดีตได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โครงการ “ตรวจสอบและประเมินผลกระทบจากระเบิดหลังสงครามในเวียดนาม” ของกองทุนทหารผ่านศึกสหรัฐประจำเวียดนามและกองบัญชาการทหารช่างเวียดนาม ณ จังหวัดห่าติ๋ง กว๋างนาม กว๋างจิ เถื่อเทียนเว้และเหงะอาน ตั้งแต่ปี 2012 องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างชาติของสหรัฐหรือ USAID ได้ร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมเวียดนามปฏิบัติโครงการ “ชะล้างสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินที่ตกค้างในบริเวณสนามบินดานัง” โดยดำเนินไปจนถึงปี 2016
สงครามได้ผ่านพ้นไปเป็นเวลา 40 ปี ปัจจุบันนี้ เวียดนามและสหรัฐมีคนรุ่นใหม่ที่มีความคล่องตัว มีความคิดสร้างสรรค์และไม่ยึดติดอดีต จากความพยายามของทางการปกครองทุกระดับ องค์การและประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐจะนับวันใกล้ชิดมากขึ้นบนเจตนารมณ์แห่งความร่วมมือในทุกด้าน.