ประเทศไนจีเรียกำลังอยู่ในภาวะที่ยากลำบากเมื่อความขัดแย้งระหว่างชนชาติและศาสนานับวันมีความร้าวลึกมากขึ้น ส่วนการเดินขบวนประท้วงการปรับขึ้นค่าเชื้อเพลิงของรัฐบาลก็บานปลายอย่างรวดเร็วจนทำให้ประชามติมีความวิตกว่าอาจจะทำให้สังคมไร้เสถียรภาพและสงครามกลางเมืองในประเทศนี้
|
ชาวไนจีเสียประท้วงรัฐบาล-ภาพจากอินเตอร์เนต |
การเดินขบวนประท้วงได้มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกเงินสนับสนุนกองทุนน้ำมันตั้งแต่ช่วงวันขึ้นปีใหม่2012 ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ในประเทศปรับตัวสูงขึ้นโดยราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น0.96เหรียญต่อลิตร และถึงแม้ว่าเป็นประเทศผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของทวีปนี้รวมทั้งยังเป็นสมาชิกขององค์การโอเปกและมีปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งออกเป็นจำนวนมากแต่ไนจีเรีย ก็ยังต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อนำเข้าเชื้อเพลิงโดยในปี2011ไนจีเรียต้องเสียเงินถึง8พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันดังนั้นการยกเลิกมาตรการนี้จะช่วยให้ไนจีเรียมีเงินทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังทรุดโทรมของประเทศรวมทั้งลดแรงกดดันต่อการสำรองเงินตราต่างประเทศ ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อวันของชาวไนจีเรียอยู่ที่ไม่เกิน2เหรียญสหรัฐ ดังนั้นมาตรการนี้ถือเป็นการตัดผลประโยชน์เดียวที่พวกเขาได้รับจากรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การเดินขบวนประท้วงและยืดเยื้อมากว่า10วันแล้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด โดยผู้ประท้วงได้แสดงความเห็นว่า การตัดสินของรัฐบาลมีแต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชั้นกลางและผู้ที่มีฐานะดีเท่านั้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ชีวิตวามเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่มีความเดือดร้อนมากขึ้น ซึ่งเมื่อวันที่9มกราคมได้เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจในบางพื้นที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนโดยเฉพาะสถานการณ์ที่เมืองกาโน นครที่ใหญ่ที่สุดทางภาคเหนือไนจีเรียถือว่ารุนแรงที่สุด และการนัดหยุดงานในระหว่างวันที่9-10มกราคมที่ผ่านมาได้ทำให้ กิจกรรมต่างๆในประเทศนี้หยุดนิ่งเนื่องจากสนามบิน ปั๊มน้ำมันและธนาคารทุกแห่งได้ปิดทำการ ถนนสายต่างๆไม่มีคนสัญจรมีแต่เสียงเปล่งคำขวัญของผู้เดินขบวนประท้วงเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ความขัดแย้งด้านชนชาติและศาสนาก็กำลังเป็นไปอย่างตึงเครียด โดยไนจีเรียป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในเเอฟริกาและประชากรส่วนใหญ่ในภาคเหนือเป็นชาวมุสลิมส่วนชาวคาทอลิกอาศัยในภาคใต้ กองกำลังมุสลิมหัวรุนแรง โบโก ฮาราม ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุนองเลือดใส่ชาวคริสต์ในภาคเหนือในเวลาที่ผ่านมาได้ยื่นคำขาดบังคับให้ชาวคาทอลิกในภาคเหนือย้ายไปอาศัยที่ภาคใต้และกองกำลังนี้ก็เป็นฝ่ายทำการวางระเบิดพลีชีพช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย37คนและบาดเจ็บหลายสิบคน ส่วนเมื่อวันที่4มกราคม ทางภาคเหนือไนจีเรียก็เกิดเหตุระเบิด3ครั้งโดยไม่สนใจการประกาศภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดี กู๊ดลัค โจนาธาน
ความล้มเหลวในการรับมือกับการโจมตีอย่างนองเลือดของกองกำลังมุสลิมหัวรุนแรง การแก้ไขการเดินขบวนประท้วงและการหยุดงานได้ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดีกู๊ดลัค โจนาธานตกเข้าสู่ภาวะวิกฤต์และขณะนี้ไนจีเรียกำลังต้องฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด โดยเมื่อหวนมองไปยังประเทศแอฟริกาเหนือคือตูนีเซียนั้น การที่นาย โมฮัมเม็ด เอล บูซาซี ซึ่งเป็นคนขายของริมถนนได้เผาตัวเองเมื่อวันที่ 17ธันวาคมปี2010เพื่อคัดค้านการกระทำที่อยุติธรรมของทางการท้องถิ่นนั้นได้เป็นการจุดชนวนแก่การเดินขบวนครั้งต่างๆเพื่อคัดค้านรัฐบาลจนขยายตัวกลายเป็นขบวนการ วสันต์แห่งอาหรับ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองในอีกหลายประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ซึ่งก็ทำให้เกิดความวิตกกันว่า การเดินขบวนประท้วงคัดค้านการยกลเลิกนโยบายสนับสนุนราคาน้ำมันอาจจะ บานปลายเป็นเหตุการณ์วุ่นวายครั้งใหญ่โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งด้านชนชาติและศาสนารวมอยู่ด้วย โดยกองกำลังมุสลิม หัวรุนแรง โบโก ฮาราม ประกาศว่าจะยุยงให้เกิดสงครามต่อต้านรัฐบาลไนจีเรียต่อไปจนกว่าจะสามารถลบล้างระบบฃราวาสนิยมเพื่อจัดตั้งรัฐมุสลิมรวมทั้งมุ่งหวังที่จะบังคับใช้กฎหมายอิสลาม ซาเรียในดินแดนของไนจีเรีย./.
Doan Trung -VOV5