ภูมิใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่และพัฒนา

Ba Thi
Chia sẻ
(VOVWORLD) -จากความพยายาม ความตั้งใจและการร่วมแรงร่วมใจของทั้งพรรคฯและประชาชน หลังการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศมาเป็นเวลากว่า 35 ปี คือตั้งแต่ปี 1986 มาจนถึงปัจจุบัน เวียดนามได้ประสบผลที่น่ายินดีและโดดเด่นในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง การต่างประเทศ ความมั่นคงกลาโหมและวัฒนธรรมสังคม พลังและสถานะของประเทศนับวันได้รับการปรับปรุงและเป็นพื้นฐานที่มั่นคงที่ช่วยให้เวียดนามมีความมั่นใจพัฒนาและก้าวรุดหน้าบนเส้นทางที่ได้เลือกเฟ้น
ภูมิใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่และพัฒนา - ảnh 1ภูมิใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่และพัฒนา (VGP)

เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้ประเมินภาพรวมเกี่ยวกับเวียดนามว่า “เป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จในการพัฒนา การปฏิรูปเศรษฐกิจนับตั้งแต่ปี 1986 บวกกับแนวโน้มการปรับเปลี่ยนเข้าสู่กระแสโลกได้เอื้ออำนวยให้เวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลกพัฒนาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางในระดับต่ำภายใน 1 ชั่วอายุคน”

พลังและสถานะใหม่ของเวียดนาม

หลังการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศมาเป็นเวลากว่า 35 ปี พลังและสถานะของเวียดนามได้รับการยกระดับขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ มติของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ สมัยที่ 13 ได้ยืนยันว่า เวียดนามได้บรรลุผลงานที่น่ายินดีต่างๆ ซึ่งมีความหมายทางประวัติศาสตร์ มีการพัฒนาอย่างเข้มแข็งและรอบด้านเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ ซึ่งขอบเขตเศรษฐกิจได้รับการยกระดับ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้รับการปรับปรุงทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ ศักยภาพ สถานะและชื่อเสียงของประเทศนับวันได้รับการยกระดับมากขึ้นบนเวทีโลก

จากที่เคยเป็นประเทศที่มีฐานะยากจนและล้าสมัย ปัจจุบันเวียดนามได้พัฒนาจนติดกลุ่ม 40 เศรษฐกิจที่มีขอบเขตใหญ่ที่สุดในโลก เป็นหนึ่งใน 20 เศรษฐกิจนำหน้าในด้านการค้าของโลกด้วยมูลค่าการนำเข้าและส่งออกในปี 2021 ที่บรรลุเกือบ 6 แสน 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จีดีพีต่อหัวประชากรยู่ที่ 3,800 ดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่า 44 เท่าเมื่อเทียบกับตัวเลข 86 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อในปี 1988 และจากที่เคยเป็นประเทศที่ถูกคว่ำบาตร ปัจจุบันนี้ เวียดนามได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 189 ประเทศและดินแดน โดยสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์และทุกด้านกับ 30 ประเทศ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีบทบาทและสถานะสำคัญในโลก หลายประเทศให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อเวียดนามผ่านนโยบายสำหรับภูมิภาคของตน พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้สถาปนาความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองเกือบ 250 พรรคใน 111 ประเทศ สภาแห่งชาติเวียดนามมีความสัมพันธ์กับรัฐสภาและสภาแห่งชาติของกว่า 140 ประเทศ ส่วนองค์กรต่างๆและองค์กรประชาชนมีความสัมพันธ์กับองค์กรประชาชนและองค์กรเอ็นจีโอของประเทศต่างๆนับพันองค์กร นอกจากนี้ เวียดนามยังได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการค้ากับกว่า 220 หุ้นส่วน มีความสัมพันธ์กับองค์กรระหว่างประเทศกว่า 500 องค์กร ลงนามในข้อตกลงการค้าทวิภาคีกว่า 90 ฉบับและข้อตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนเกือบ 60 ฉบับ ทำการเจรจา ลงนามและปฏิบัติข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ 17 ฉบับ เวียดนามได้ให้ภาคีและลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศพหุภาคีกว่า 80 ฉบับและเป็นสมาชิกขององค์กร ฟอรั่มพหุภาคีในภูมิภาคและโลกกว่า 70 องค์กรและฟอรั่ม ที่น่าสนใจคือเวียดนามได้รับเลือกเป็นสมาชิกขององค์กร สถาบันและกลไกระหว่างประเทศต่างๆ หลายครั้ง เช่น สมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติรวม 2 วาระ สมาชิกของสมัชชาใหญ่ยูเนสโก 2 วาระและสภาสิทธิมนุษยชน เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศใหญ่ๆ เช่น เอเปก อาเซียน อาเซมและกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายการค้า ระหว่างประเทศหรือ UNCITRAL นอกจากนี้เวียดนามได้เข้าร่วมอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพต่อกิจกรรมการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเมื่อเร็วๆนี้ นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ชื่นชมการเข้าร่วมของเวียดนามต่อปัญหาระหว่างประเทศ รวมทั้งการรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ

ภูมิใจในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่และพัฒนา - ảnh 2นาย ฝ่ามบิ่งมิงห์ รองนายกรัฐมนตรี (nld.com.vn)

ในการสรุปผลเกี่ยวกับสถานะและพลังใหม่ของเวียดนามในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่ พัฒนาและผสมผสานเข้ากับกระแสโลกในตลอดกว่า 35 ปีที่ผ่านมา นาย ฝ่ามบิ่งมิงห์ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันด้วยความภาคภูมิใจว่า “เวียดนามได้ประสบผลที่น่ายินดี มีความหมายทางประวัติศาสตร์ มีการพัฒนาอย่างเข้มแข็งรอบด้าน สามารถระดมทั้งพลังและสถานะและนับวันมีชื่อเสียงมากขึ้นบนเวทีโลก ซึ่งช่วยสร้างพื้นฐานที่สำคัญและสถานะที่สะดวกเพื่อการพัฒนา ขอบเขตและระดับของเศรษฐกิจได้รับการยกระดับ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้รับการปรับปรุงทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ ความมีเสถียรภาพด้านการเมืองและสังคมได้รับการรักษา กลุ่มมหาสามัคคีชนในชาติภายใต้การนำของพรรคฯได้รับการเสริมสร้าง ความมั่นคงกลาโหมได้รับการธำรงและเสริมสร้างอย่างเข้มแข็ง ประเทศผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างกว้างลึกและเป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบสูงของประชาคมระหว่างประเทศ

อนาคตอันสดใส

จากผลสำเร็จที่ได้บรรลุในกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ ท่าน เหงียนฟู้จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคฯ ได้ยืนยันหลายครั้งว่า เวียดนามไม่เคยมีอนาคต ศักยภาพ สถานะและชื่อเสียงสูงเด่นเหมือนในปัจจุบัน ส่วนองค์กร สถาบันและกลไกระหว่างประเทศต่างๆ ได้ให้ข้อสังเกตว่า เวียดนามสามารถสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้แก่การพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืนในอนาคต ซึ่งธนาคารโลกได้ประเมินว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่คล่องตัวมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จากความคิดเห็นที่เหมือนกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลกได้แสดงความคิดเห็นว่า บนพื้นฐานที่มั่นคงและความแข็งแกร่ง เวียดนามยังมีศักยภาพอีกมากในการพัฒนา โดยเฉพาะมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุอัตราการขยายตัวเหมือนในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 คือร้อยละ 6-7 นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป ในขณะที่ทาง บริษัทพยากรณ์ตลาด HIS Markit ของอังกฤษก็ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า จีดีพีของเวียดนามอาจบรรลุ 4 แสน 3 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 และ 6 แสน 8 หมื่น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งหมายความว่า จีดีพีเฉลี่ยต่อหัวประชากรของเวียดนามจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อยู่ที่ 4,280 ดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2025 และ 6,600 ดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ส่วนสำนักข่าว Bloomberg ของสหรัฐได้ลงบทความที่พาดหัวว่า “เวียดนามอาจพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจสตาร์ทอัพอีกแห่งของเอเชีย”

การวิเคราะห์ ประเมินและข้อสังเกตที่อ้างอิงจากข้อเท็จจริงขององค์กร สถาบันและกลไกที่มีชื่อเสียงต่างๆของโลกเกี่ยวกับอนาคตที่สดใสของเวียดนามถือเป็นการยืนยันอีกครั้งเกี่ยวกับความถูกต้องเชิงยุทธศาสตร์ของจิตใจและแนวทางการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ พร้อมทั้งเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อช่วยให้เวียดนามก้าวรุดหน้าอย่างมั่นคงบนเส้นทางที่เลือกเฟ้นต่อไป คือ เส้นทางมุ่งสู่งสังคมนิยม โดยก่อนอื่นคือการปฏิบัติเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมที่ระบุในมติของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ สมัยที่ 13 นั่นคือ ถึงปี 2025 จะพัฒนาเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา มีระบบอุตสาหกรรมตามแนวทางที่ทันสมัย สามารถผ่านเกณฑ์รายได้ปานกลางในระดับต่ำ ถึงปี 2030 จะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ที่มีระบบอุตสาหกรรมที่ทันสมัย มีรายได้ปานกลางในระดับสูงและถึงปี 2045 จะเป็นประเทศพัฒนาที่มีรายได้สูง.

Feedback