การพบปะสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 3 และโอกาสการฟื้นฟูการเจรจาด้านนิวเคลียร์

Anh Huyen/VOV5
Chia sẻ
(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ประชาคมโลกได้เห็นถึงนิมิตหมายทางประวัติศาสตร์ที่เขตปลอดทหารระหว่างสองภาคเกาหลี โดยผู้นำสหรัฐและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีซึ่งเป็นสองประเทศที่ยังคงเผชิญหน้ากันได้พบปะกันถึงแม้จะเป็นการพบปะเวลาสั้นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ได้เหยียบดินแดนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเมื่อก้าวเท้าข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างสองภาคเกาหลีในเขตปลอดทหารหรือ DMZ ซึ่งสัญญาณที่น่ายินดีนี้ได้สร้างความหวังว่า การเจรจาด้านนิวเคลียร์จะมีความคืบหน้าในเวลาที่จะถึง
การพบปะสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 3 และโอกาสการฟื้นฟูการเจรจาด้านนิวเคลียร์ - ảnh 1ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป และผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คิมจองอึน พบปะกันที่เขต DMZ (vietnamplus)

 

หลังการพบปะ ผู้นำทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องกันว่า จะติดต่อกันในอนาคตและผลักดันการสนทนาในกระบวนการปลอดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีและความสัมพันธ์ทวิภาคี ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า วอชิงตันจะจัดตั้งกลุ่มปฏิบัติงานใหม่นำโดยทูตพิเศษเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี Stephen Biegun ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อฟื้นฟูการเจรจา อีกทั้งแสดงความหวังว่า จะยกเลิกการคว่ำบาตรทางการเปียงยาง การเคลื่อนไหวใหม่นี้ได้รับการชื่นชมจากประชาคมโลกโดยถือว่า นี่คือ “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ในกระบวนการปลอดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี

การเคลื่อนไหวที่น่ายินดีใน 365 วันที่ผ่านมา

เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2018 นาย โดนัลด์ ทรัมป์ และนาย คิมจองอึน ได้พบปะกันครั้งแรก ณ ประเทศสิงคโปร์ ถึงแม้ยังมีหลายปัญหา แต่การพบปะครั้งแรกได้เสร็จสิ้นลงด้วยผลงานที่น่ายินดี โดยทั้งสองฝ่ายได้เสนอหลักการให้แก่การลดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีและมุ่งสู่การปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ ภายหลัง 8 เดือน ผู้นำทั้งสองประเทศได้พบปะกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากนาย คิมจองอึน ส่งสัญญาณที่อยากพบปะกับนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ในบทปราศรัยในต้นปีใหม่ และได้รับการชื่นชมจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ในการพบปะครั้งนี้ ถึงแม้ยังไม่สามารถบรรลุผลงานตามที่คาดหวัง และไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้ แต่ผู้นำทั้งสองประเทศก็ได้แสดงการให้ความเคารพกัน โดยเฉพาะได้ใช้คำว่า เป็นเพื่อนมิตรกัน ซึ่งทำให้ประชามติโลกไม่คิดว่า กระบวนการทางการทูตจะไม่ได้ผล ในขณะที่สงครามการค้ากับจีนและกิจกรรมต่างๆในการประชุมผู้นำจี 20 ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังยุ่งยากมาก แต่เขาได้เสนอจัดการพบปะครั้งที่ 3 ณ เขตปลอดทหาร DMZ ในโอกาสเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี

ดังนั้น สามารถเห็นได้ว่า ในตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ผู้นำทั้งสองประเทศซึ่ง “เป็นศัตรูกัน” ได้สร้างกระบวนการทางการทูตขึ้นใหม่อย่างน่าประทับใจ นำคาบสมุทรเกาหลีที่มีความตึงเครียด มีการทดลองนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องและประสบความล้มเหลวในการเจรจา 6 ฝ่าย มาสู่การจัดการพบปะโดยตรงที่เต็มไปด้วยความหมาย การยกเลิกการทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธ การส่งมอบอัฐิทหารสหรัฐในสงครามเกาหลีได้เริ่มขึ้นและดำเนินต่อไป การข่มขู่และยุยงปลุกปั่นถูกแทนที่ด้วยท่าทีที่สร้างสรรค์มากขึ้นและส่งเสริมการสนทนา ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่ทุกฝ่ายต้องรับมือกับแรงกดดันต่างๆ ถ้าหวมมองในอดีต ประธานาธิบดีสหรัฐชุดก่อนๆ ตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดี Reagan จนถึงสมัยของประธานาธิบดี บารัก โอบามา ก็ไม่สามารถสร้างนิมิตหมายให้แก่ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้ การที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับนาย คิมจองอึน อาจเป็นวิธีการที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการสร้างนิมิตหมายของตนเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงทัศนะที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเกิดวิกฤตต้องมีวิธีการเข้าถึงใหม่ ซึ่งตนก็กำลังยืนหยัดปฏิบัติวิธีการเข้าถึงนี้

เส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

การที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ก้าวเท้าข้ามเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างสองภาคเกาหลีในเขตปลอดทหารหรือ DMZ เหยียบดินแดนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีไม่เพียงแต่มีความหมายทางประวัติศาสตร์เท่านั้น หากยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายที่ลึกซึ้งอีกด้วย และถือเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การเจรจาที่เต็มไปด้วยอุปสรรคในเวลาที่จะถึง

แม้เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย เพราะทั้งสองฝ่ายไม่สามารถฟันฝ่าผลกระทบที่ลึกซึ้งของสงครามที่ยืดเยื้อเป็นเวลา 7 ทศวรรษ การคว่ำบาตร การเผชิญหน้าและการระแวงต่อกัน ดังนั้น ในการพบปะครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันว่า จะฟื้นฟูการเจรจาและความเข้าใจที่ได้บรรลุในเวลาที่ผ่านมาด้วยจิตใจแห่งความสร้างสรรค์ หลังการพบปะที่เขต DMZ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้จับมือเพื่อเร่งเตรียมจัดการเจรจาระดับผู้เชี่ยวชาญซึ่งคาดว่า จะมีขึ้นในกลางเดือนนี้ ซึ่งถ้าหากเป็นไปอย่างราบรื่น มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการจัดการประชุมระดับสูงสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในเวลาอันใกล้นี้ แต่เพื่อปฏิบัติสิ่งนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก อุปสรรคใหญ่ในปัจจุบันคือต้องทำเช่นไรเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆเพราะไม่เพียงแต่เป็นปัญหาระหว่างสองประเทศเท่านั้น หากยังเป็นปัญหาของคาบสมุทรเกาหลีอีกด้วย ตลอดจนสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการเกี่ยวกับกระบวนการปลอดนิวเคลียร์ การยกเลิกการคว่ำบาตรและการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ

ปัญหาทุกประเด็นดังกล่าวต้องมีการประนีประนอมจากทั้งสองฝ่าย ถึงแม้นี่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน สัญญาณที่น่ายินดีที่กำลังขยายผลจากการพบปะสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเมื่อเร็วๆนี้ ความหวังที่ทั้งสองฝ่ายจะสนทนากันอย่างตรงไปตรงมามีโอกาสที่จะกลายเป็นจริง เพื่อบรรลุการสนทนาและการทูตแทนความตึงเครียดและการเผชิญหน้า ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความเคารพและเข้าใจกันเพื่อมีก้าวเดินใหม่ให้แก่กระบวนการที่สามารถนำไปสู่มาตรการแก้ปัญหาระยะยาว.

Feedback