พิธีลงนามRCEP มีขึ้นภายใต้การเป็นสักขีพยานของผู้นำประเทศต่างๆผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (dangcongsan.vn)

นาย Muhyiddin Yassin นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้เผยว่า RCEP จะเป็นกลไกที่สำคัญเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สนับสนุนการเปิดกว้างตลาดอีกครั้งและค้ำประกันระบบห่วงโซ่อุปทาน และเผยว่า ข้อตกลงนี้จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่าย

ส่วนนาย โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียได้ประเมินว่า การลงนาม RCEP คือสัญลักษณ์ของคำมั่นเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค พร้อมทั้งเผยว่า นี่เป็นคำมั่นของประเทศต่างๆต่อกลไกการค้าพหุภาคีที่เปิดเผย มีความเท่าเทียมกันและเอื้อประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่าย ส่วนนาย ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้ย้ำว่า การลงนาม RCEP แสดงให้เห็นถึงคำมั่นต่อการรักษาระบบห่วงโซ่อุปทานที่เปิดกว้างและมีความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดในการส่งเสริมการค้าอย่างเสรีในสภาวการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆเน้นพัฒนาตลาดภายในประเทศและมีแนวโน้มคุ้มครองการค้ามากขึ้น

ส่วนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยได้ให้ข้อสังเกตว่า RCEP ไม่เพียงแต่เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่มีขอบเขตที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากยังมีความโดดเด่นในด้านคุณภาพ มาตรฐานและส่งผลดีต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและนำผลประโยชน์มาให้แก่ทุกฝ่ายที่เข้าร่วม

ส่วนนาย Scott Morrison นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียได้เผยว่า การที่ 15 ประเทศในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลียลงนามในข้อตกลง RCEP แสดงให้เห็นถึงคำมั่นเกี่ยวกับการเปิดเสรีด้านการค้าและการลงทุนท่ามกลางความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19 ในขณะที่นาง จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ได้ยืนยันว่า RCEP มีคุณค่าเชิงยุทธศาสตร์ผ่านการขยายความสัมพันธ์ในภูมิภาคให้เข้าสู่ส่วนลึกมากขึ้น.