การแถลงข่าวระหว่างประเทศ (VGP) |
นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุก ยืนยันว่า การประชุมได้ประสบความสำเร็จซึ่งเปิดเส้นทางใหม่สำหรับอาเซียนและ ยกระดับความร่วมมือกับหุ้นส่วนต่างๆเพื่อความร่วมมือและการพัฒนา เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต
เกี่ยวกับผลกระทบของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์รหว่างประเทศใหญ่ต่อความสามัคคีของอาเซียนนายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุก ได้แสดงความเห็นว่า “ประเทศใหญ่มีบทบาทสำคัญในการค้ำประกันสันติภาพ การธำรงเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของโลก รวมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปอาเซียนและเวียดนามต่างมีความประสงค์ว่า ประเทศใหญ่ จะมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก มีการแข่งขันที่บริสุทธิ์ ให้ความเคารพบทบาทเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในภูมิภาคเพื่อมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิผลต่อสันติภาพ ความร่วมมือด้านความมั่นคงและการพัฒนาในภูมิภาค บนเจตนารมณ์ที่สร้างสรรค์อาเซียนเป็นหนึ่งเดียวและพร้อมปรับตัวในเชิงรุก เวียดนามได้สามัคคีกับประเทศต่างๆในอาเซียนในการบรรลุความเห็นพ้องเป็นเอกฉัทน์ ยึดมั่นในการปฏิบัติและความจริงใจในความร่วมมือกับหุ้นส่วนต่างๆเพื่อภูมิภาคที่เปิดกว้าง โปร่งใสและดำเนินการตามกฎระเบียบ ซึ่งทัศนะนี้ถูกระบุอย่างชัดเจนในเอกสารฉบับต่างๆของอาเซียนในตลอดปี 2020”
สำหรับความสัมพันธ์อาเซียน – สหรัฐ นายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุก ยืนยันว่า สหรัฐมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเวียดนามและอาเซียนบนเจตนารมณ์แห่งความเข้าใจและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ในการประชุมผู้นำอาเซียน - สหรัฐครั้งที่ 8 การเข้าร่วมของที่ปรึกษาอาวุโสด้านความมั่นคงของสหรัฐได้แสดงให้เห็นถึงความสนใจของสหรัฐต่ออาเซียน “ความร่วมมือที่ใหญ่ที่สุดคือความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนเนื่องจากสหรัฐเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่อันดับสองของอาเซียนและเป็นนักลงทุนเอฟดีไอรายใหญ่อันดับหนึ่งของอาเซียน การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการค้าและการลงทุนของสหรัฐ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคีได้กลายเป็นพื้นฐานการพัฒนาในระยะยาวสำหรับความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับเวียดนามและประเทศในอาเซียน อาเซียนให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับสหรัฐบนพื้นฐานของความเป็นอิสระ ให้ความเคารพอธิปไตยและความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ภูมิภาคที่สันติภาพ เสถียรภาพและเจริญรุ่งเรือง”
สำหรับข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในทุกด้านระดับภูมิภาคหรือ RCEP นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ประเทศต่างๆจะให้สัตยาบันข้อตกลงนี้เพื่อให้มีผลบังคับใช้และเกิดประสิทธิผลต่อ 15 ประเทศสมาชิก.