นายกรัฐมนตรีเหงวียนซวนฟุกกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุม

ในการนี้ ท่าน เหงวียนซวนฟุกได้ย้ำว่า ญี่ปุ่นคือหุ้นส่วนที่สำคัญ เป็นผู้สนับสนุนเงินโอดีเอรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม เป็นนักลงทุนเอฟดีไอรายใหญ่อันดับ 2 และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของเวียดนาม พร้อมทั้งเผยว่า ในสภาวการณ์ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เวียดนามกำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและแรงงานที่มีคุณภาพสูง รัฐบาลเวียดนามมีความประสงค์ว่า นักลงทุนญี่ปุ่นจะขยายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมแปรรูป อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมประดิษฐ์คิดค้น อุตสาหกรรมประกอบ การเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การบิน การท่องเที่ยว เป็นต้น เวียดนามกำลังพัฒนาสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ธุรกิจสตาร์ทอัพ การเชื่อมโยงธุรกิจสตาร์ทอัพเวียดนามกับประเทศต่างๆในภูมิภาคและโลก ส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในโครงการต่างๆของสถานประกอบการสตาร์ทอัพเวียดนาม“นักลงทุนญี่ปุ่นได้รับการประเมินว่า เป็นแบบอย่างที่ดีของนักลงทุนเอฟดีไอในเวียดนาม เช่น มีความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย ความจริงใจและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการลงทุนของญี่ปุ่นถือเป็นแรงกระตุ้นและช่วยเพิ่มการแข่งขันระหว่างนักลงทุนเอฟดีไอในเวียดนาม ปัจจุบัน เครือบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในเวียดนามและเข้าร่วมกิจกรรมการส่งออกอย่างเข้มแข็ง”

ในการนี้ นายกรัฐมนตรีเหงวียนซวนฟุกได้เป็นสักขีพยานในพิธีมอบข้อตกลงความร่วมมือที่ได้ลงนามระหว่างสถานประกอบการ กระทรวง หน่วยงานและท้องถิ่นต่างๆของทั้ง 2 ประเทศ รวมมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ.