ผลสำเร็จของเวียดนามในด้านสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้

Thu Hoa – VOV5
Chia sẻ
(VOVworld)-เวียดนามกำลังขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติวาระปี ๒๐๑๓-๒๐๑๖ แต่ได้ถูกกีดขวางจากบุคคลและองค์การปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวเวียดนามที่อาศัยในต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า  เวียดนามมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรนี้เพื่อพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของโลกเนื่องจากยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม  ซึ่งเป็นการประเมินที่ไร้มูลความจริงเกี่ยวกับความสำเร็จของเวียดนามในด้านนี้เพื่อดิสเครดิตเวียดนามบนเวทีโลก

( VOVworld ) - เวียดนามกำลังขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติวาระปี ๒๐๑๓-๒๐๑๖ แต่ได้ถูกกีดขวางจากบุคคลและองค์การปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวเวียดนามที่อาศัยในต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่า  เวียดนามมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรนี้เพื่อพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของโลกเนื่องจากยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม  ซึ่งเป็นการประเมินที่ไร้มูลความจริงเกี่ยวกับความสำเร็จของเวียดนามในด้านนี้เพื่อดิสเครดิตเวียดนามบนเวทีโลก

ผลสำเร็จของเวียดนามในด้านสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ - ảnh 1
นักเรียนจำนวนมากได้ไปโรงเรียน( อินเตอร์เน็ต )

องค์กรและบุคคลเหล่านี้ให้เหตุผลว่า ทางการเวียดนามได้ปราบปรามหรือข่มขู่ผู้ที่อยู่ในประเทศที่ทำการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน  โดยได้เอ่ยถึงบุคคลบางคนและบล็อคเกอร์บางคนที่ต้องคดีฐานละเมิดกฏหมายของเวียดนาม ซึ่งถือว่าไม่เคารพสิทธิมนุษยชน  พวกเขาได้ป่าวร้องว่า จำเป็นต้องออกมาแสดงความคิดเห็นให้โลกได้รับทราบว่า เวียดนามไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับการเคารพสิทธิส่วนบุคคล พร้อมทั้งเรียกร้องให้เวียดนามปรับปรุงผลงานด้านสิทธิมนุษยชนให้ดีขึ้นโดยการปล่อยตัวนักโทษการเมืองและทางศาสนา  หากทำได้เช่นนั้นเวียดนามก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ

ก่อนอื่นต้องยืนยันว่า ผลสำเร็จของเวียดนามในด้านสิทธิมนุษยชนได้รับการยอมรับจากนานาประเทศด้วยการผ่านความเห็นชอบรายงานแห่งชาติว่าด้วยกลไกการสำรวจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเป็นประจำในการประชุมของสภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายน ๒๐๐๙ โดยได้ชื่นชมความสำเร็จและความพยายามของเวียดนามในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิส่วนบุคคลในด้านการเมือง พลเรือน เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคม ซึ่งผลสำเร็จในด้านต่างๆดังกล่าวได้ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโดยเฉพาะในช่วงที่เวียดนามดำเนินภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดจากตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลอดกว่า ๑ ทศวรรษที่ผ่านมาที่กว่าร้อยละ ๗ ทั้งนี้ได้ส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาต่างๆทางสังคม  ผลสำเร็จของเวียดนามในตลอดกว่า ๓๕ ปีที่ผ่านมาได้อำนวยเงื่อนไขให้แก่การปฏิบัติสิทธิพื้นฐานของประชาชนโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม   ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่า คารมขององค์การและบุคคลที่กล่าวหาเวียดนามจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและในด้านสื่อมวลชน โดยถือพวกที่ฝ่าฝืนกฎหมายที่ถูกศาลตัดสินเสมือนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง  อีกทั้งยังป่าวร้องว่า เวียดนามไม่ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ในการเคารพสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่เคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงและไม่อาจหลอกคนอื่นได้  คารมเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  รัฐธรรมนูญและกฎหมายของเวียดนามได้ระบุให้พฤติกรรมฉกฉวยปัญหาทางศาสนาและสิทธิมนุษยชนเพื่อก่อความไม่สงบทางการเมืองและสังคม ทำลายความมั่นคงของประทศและกลุ่มมหาสามัคคีชนในชาติเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างเด็ดขาดซึ่งล้วนถูกนำขึ้นศาลดำเนินคดีตามกฎหมายของเวียดนาม  ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุกประเทศในโลกนี้ต่างปฏิบัติเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎมายและเวียดนามก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้  ดังนั้นเห็นจะต้องยืนยันได้ว่า ในเวียดนามไม่มีนักโทษมโนธรรม นักโทษการเมืองหรือนักโทษทางศาสนาเพียงแต่มีพลเมืองที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายหากฝ่าฝืนกฎหมายก็จะถูกลงโทษเท่านั้น

การที่จะพิจารณาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศใดก็ต้องดูว่า รัฐบาลของประเทศนั้นได้ทำอะไรให้ประชาชนของตนมีชีวิตทางวัตถุและจิตใจนับวันดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ยากจนหรือกำลังพัฒนาดังเช่นเวียดนาม ซึ่งเป็นสาระสำคัญของสิทธิมนุษยชน  แต่องค์กรและบุคคลดังกล่าวที่กล่าวหาเวียดนามเรื่องสิทธิมนุษยชนกลับไม่ได้คำนึงถึงประเด็นเหล่านี้  บุคคลบางคนที่พวกเขาชื่นชมว่าเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักโทษทางศาสนาหรือนักโทษทางมโนธรรมอันที่จริงพวกเขาเหล่านั้นได้ละเมิดกฎหมายและถูกดำเนินคดีอย่างเปิดเผยตามโทษฐานที่ได้ระบุในประมวลกฎหมายอาญาของเวียดนาม  การที่ทางการทุกระดับปฏิบัติมาตรการสกัดพฤติกรรมที่ต่อต้านหรือศาลพิพากษาดำเนินคดีต่อพวกเขานั้นมิใช่การละเมิดสิทธิมนุษยชน หากทำให้ประชาชนได้มีชีวิตที่สงบและสันติสุข   มติเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๐๐๖ ระบุชัดว่า ประเทศสมาชิกต้องได้มาตรฐานในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ การที่เวียดนามพัฒนาเศรษฐกิจที่มีอัตรการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติความยุติธรรมทางสังคมและการส่งเสริมนิติรัฐทำให้สิทธิต่างๆของประชาชนนับวันได้รับการปฏิบัติ  ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาขององค์การและบุคคลที่ไม่หวังดีนั้นไร้มูลความจริง  นอกจากนี้ เวียดนามก็มีนโยบายที่เสมอต้นเสมอปลายคือ พยายามร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศส่งเสริมการบริโภคและปกป้องสิทธิมนุษยชนให้แก่ประชาชนประเทศต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิกของสภาสิทธิมนุษยชนเพื่อร่วมกับประเทศสมาชิกปฏิบัติสิทธิต่างๆของบุคคลและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเวียดนามในด้านนี้  ด้วยการให้คำมั่นเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิของมนุษย์และประสบการณ์ในทางปฏิบัติเวียดนามจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในสภาสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ และจะมีส่วนร่วมที่แข็งขันในภารกิจของสภาฯเพื่อโลกที่สันติภาพ เจริญรุ่งเรืองและยุติธรรม ./.


Komentar