ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกทำลายและผลกระทบที่ไม่สามารถคาดเดาได้

Anh Huyen - VOV5
Chia sẻ
(VOVWORLD) -แม้สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศหรือไอเออีเอได้ระบุว่า อิหร่านปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์อย่างจริงจังแต่สหรัฐยังคงประกาศแผนการถอนตัวจากข้อตกลงฉบับนี้และพิจารณาประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรใหม่ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านตกในมรสุมความตึงเครียดพร้อมกับผลกระทบที่ไม่สามารถคาดเดาได้
ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกทำลายและผลกระทบที่ไม่สามารถคาดเดาได้ - ảnh 1ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Photo AFP/ VNplus) 

ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านมีชื่อว่า แผนปฏิบัติการร่วมอย่างสมบูรณ์ที่ได้รับการลงนามเมื่อปี 2015 ระหว่างอิหร่านกับกลุ่มพี 5+1 ประกอบด้วยอังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ จีน รัสเซียและเยอรมนี ซึ่งตามข้อตกลงฉบับนี้ อิหร่านจะลดขอบเขตโครงการนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการลดคำสั่งคว่ำบาตรส่วนใหญ่ของประชาคมระหว่างประเทศ นี่ถือเป็นชัยชนะทางการทูตและเป็นผลงานที่โดดเด่นของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ บารัค โอบามา แต่อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่นายโดนันด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็พยายามแสวงหาเหตุผลต่างๆเพื่อถอนตัวหรือยุติข้อตกลงฉบับนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว แม้กระทั่งยังได้เรียกข้อตกลงนี้ว่า เป็นเรื่องตลกและเป็นข้อตกลงที่แลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์”

ความตึงเครียดทวีมากขึ้น

นับตั้งแต่ที่ข้อตกลงนิวเคลียร์ได้รับการลงนาม ไอเออีเอ ซึ่งเป็นสำนักงานที่รับผิดชอบเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของอิหร่านได้มีรายงานอัพเดทสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า อิหร่านได้ปฏิบัติข้อตกลงฉบับดังกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ไอเออีเอได้รายงานว่า เตหะรานได้ ยุติกิจกรรมนิวเคลียร์บางส่วนและคลังสำรองยูเรเนียมของอิหร่านที่ใช้สำหรับเป้าหมายพลเรือนก็ไม่เกินข้อกำหนดตามข้อตกลงที่ให้ไว้คือ 300 กิโลกรัม นอกจากนั้นอิหร่านก็ไม่มีแผนการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อารัก ที่สามารถเสริมสมรรถภาพยูเรเนียมให้เป็นอาวุธได้

แต่อย่างไรก็ตาม รายงานเหล่านี้ไม่มีค่าต่อทัศนะของทางการประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในการประชุมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ณ ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 5 ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศว่า สหรัฐไม่อนุญาตให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองและสหรัฐต้องยุติความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านเพราะรัฐบาลอิหร่านสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายและนี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงอย่างนองเลือดในตะวันออกกลาง พร้อมทั้งกล่าวหาอิหร่านว่าไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของข้อตกลงฉบับนี้ โดยไม่สนใจถึงความวิตกกังวลของประชาคมโลกและความพยายามเรียกร้องไกล่เกลี่ย สหรัฐได้ประกาศว่า จะถอนตัวออกจากข้อตกลงในวันที่ 12 ตุลาคมและรัฐสภาสหรัฐจะมีเวลา 60 วันเพื่อตัดสินใจว่าจะฟื้นฟูคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่านหรือไม่

ในขณะเดียวกัน อิหร่านได้ออกมาตอบโต้โดยเตือนว่า กองกำลังสหรัฐที่ประจำการในภูมิภาคจะต้องเผชิญกับความสูญเสียถ้าหากวอชิงตันประกาศเพิ่มคำสั่งคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ก่อนหน้านั้น ในการกล่าวปราศรัยในสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ประธานาธิบดีอิหร่าน  ฮัสซัน โรฮานี ได้กล่าวตำหนิประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ว่า มีท่าทีและคำประกาศที่เป็นอริต่ออิหร่าน พร้อมทั้งเผยว่า ข้อกล่าวหาของสหรัฐเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่ส่งเสริมสันติภาพและให้ความเคารพระหว่างกัน นายฮัส ซัน โรฮานี ยังเตือนว่า อิหร่านจะไม่ทำลายข้อตกลงนิวเคลียร์แต่พร้อมที่ถอนตัวออกจากข้อตกลงฉบับนี้และฟื้นฟูโครงการนิวเคลียร์ “ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง” ถ้าหากถูกสหรัฐกดดันและ “จะตอบโต้การถูกละเมิดอย่างเข้มแข็ง” นอกจากกล่าวตำหนิสหรัฐแล้ว อิหร่านยังกล่าวหาอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐในตะวันออกกลางว่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาคและโลกเนื่องจากมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองจำนวนมากและพันธมิตรสหรัฐ – อิสราเอลคือฝ่ายที่กำลังปฏิบัติแผนการรุกรานตะวันออกกลาง

ผลพวงที่อันตรายและไม่สามารถคาดเดาได้

คำเตือนที่โต้ตอบกันระหว่างอิหร่านกับสหรัฐได้สร้างความวิตกกังวลในภูมิภาคและประชาคมโลก โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ได้ยืนยันว่า ไม่มีทางเลือกใดนอกเหนือข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ได้ลงนามกับอิหร่านเมื่อปี 2015 หากสหรัฐทำลายข้อตกลงฉบับนี้ สหรัฐจะตกอยู่ในสภาวะถูกโดดเดี่ยวเพราะยุโรปยังคงสนับสนุนข้อตกลงฉบับนี้ ส่วนรัสเซียก็เตือนถึงผลเสียที่จะตามมาถ้าหากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ไม่ธำรงข้อตกลงฉบับนี้ ในขณะเดียวกัน บรรดานักวิเคราะห์ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากสหรัฐตั้งใจยุติข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน การแข่งขันอาวุธจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความตึงเคียดมากขึ้น

ทั้งนี้และทั้งนั้นปัญหานี้ได้ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านนับวันตึงเครียดมากขึ้น โดยแต่ละปฏิบัติการของทางการประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถควบคุมได้ หากข้อตกลงนิวเคลียร์ถูกยุติ อิหร่านอาจจะฟื้นฟูโครงการเสริมสมรรถภาพยูเรเนียมและต้องรับผลเสียหายจากคำสั่งคว่ำบาตรใหม่ๆ ผู้สังเกตการณ์หลายคนบอกว่า การตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวของทางการโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศว่า อิหร่านไม่ปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือสนับสนุนการก่อการร้ายมีแต่จะทำให้สหรัฐถูกโดดเดี่ยวและเป็นข้อแม้เพื่อให้อิหร่านฟื้นฟูโครงการนิวเคลียร์ พร้อมทั้งส่งผลให้วิกฤตในตะวันออกกลางยืดเยื้อต่อไป.

Komentar