(VOVWorld)-ในสภาวการณ์ที่มูลค่าการส่งออกของโลกลดลงแต่มูลค่าการส่งออก ของเวียดนามในปี๒๐๑๕ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ๘.๑เมื่อเทียบกับปี๒๐๑๔ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้คือร้อยละ๑๐ กิจกรรมการส่งออกของเวียดนามในเวลาที่ผ่านมายังคงเป็นจุดเด่นในการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศ การขยายการส่งออกได้มีส่วนร่วมต่อการขยายตัวของจีดีพี สร้างงานทำให้แก่แรงงานและผลักดันการจำหน่ายสินค้าการเกษตรให้แก่เกษตรกร
กิจกรรมการส่งออกของเวียดนามในเวลาที่ผ่านมายังคงเป็นจุดเด่นในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
|
ในปี๒๐๑๕ เศรษฐกิจโลกได้ประสบอุปสรรคและความท้าทายมากมาย ราคาน้ำมันดิบลดลง ตลาดการเงินในช่วงปลายปี๒๐๑๕มีความผันผวนอย่างซับซ้อน ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการส่งออกของหลายประเทศ รวมทั้ง เวียดนาม โดยมูลค่าการส่งออกของเวียดนามในปี๒๐๑๕อยู่ที่๑แสน๖หมื่น๕พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้คือ๑แสน๖หมื่น๕พันล้านดอลลาร์สหรัฐแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ๘.๑เมื่อเทียบกับปี๒๐๑๔ มูลค่าการส่งออกไปยังเขตที่มีแหล่งเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศอยู่ที่๑แสน๑หมื่น๕พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ๑๔เมื่อเทียบกับปี๒๐๑๔ โดยสหรัฐและสหภาพยุโรปหรืออียูยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของเวียดนาม
ในการประชุมวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ระหว่างรัฐบาลกับท้องถิ่นเมื่อปลายปี๒๐๑๕ นาย หวูฮวีหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามได้ยืนยันว่า ความต้องการของตลาดที่ลดลงได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่เป็นจุดแข็งของเวียดนามเช่น สินค้าการเกษตร ป่าไม้ สัตว์น้ำ น้ำมันดิบและถ่านหิน สิ่งที่สำคัญคือเวียดนามยังคงครองส่วนแบ่งในตลาดเดิม การที่มูลค่าน้ำมันดิบลดลง ๓พันล้านดอลลาร์สหรัฐก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้อัตราการส่งออกไม่บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ แต่อย่างไรก็ดี ในปี๒๐๑๕ เวียดนามได้พยายามผลักดันการส่งออกสินค้าหลัก เช่น ข้าว ซึ่งได้มีส่วนร่วมเพิ่มมูลค่าการส่งออก กลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูป เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังมีส่วนร่วมเพิ่มมูลค่าการส่งออกและยังคงเป็นหน่วยงานที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด ซึ่งได้มีส่วนร่วมเพิ่มมูลค่าการส่งออกของทั้งปี
หน่วยงานสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังมีส่วนร่วมเพิ่มมูลค่าการส่งออกและยังคงเป็นหน่วยงานที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด
|
การส่งออกของเวียดนามในปี๒๐๑๕ได้บรรลุผลงานที่น่ายินดีเนื่องจากนโยบายช่วยเหลือการส่งออกและการส่งเสริมการค้า โดยเฉพาะ การที่เวียดนามเสร็จสิ้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับหุ้นส่วนเศรษฐกิจใหญ่ๆ เช่น สาธารณรัฐเกาหลี สหภาพศุลกากรรัสเซีย เบลารุสและคาซัคสถาน ข้อตกลงเอฟทีเอกับอียูและข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิกหรือทีพีพี ซึ่งจะสร้างโอกาสมากมายและศักยภาพใหม่ให้แก่การส่งออกของเวียดนาม ดอกเตอร์ หวอชี้อแถ่ง รองอธิบดีสถาบันวิจัยและการบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางได้ให้ข้อสังเกตุว่า “ข้อตกลงฉบับต่างๆดังกล่าวจะช่วยผลักดันการส่งออกของเวียดนามเป็นอย่างมาก ในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมทีพีพี เวียดนามได้รับการประเมินว่า เป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการส่งออก โดยมูลค่าการส่งออกของสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น๒เท่า สร้างงานทำให้แก่แรงงานนับล้านคน ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียูจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกขึ้นเป็นร้อยละ๓๐-๓๕”
เพื่อใช้โอกาสจากข้อตกลงดังกล่าว รัฐบาลและสำนักงานที่เกี่ยวข้องได้ผลักดันการปฏิบัติมาตรการต่างๆเพื่อผลักดันการส่งออก โดยเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ เพิ่มผลผลิตและยกระดับคุณภาพสินค้า นาย เจิ่นแทงหาย รองอธิบดีกรมนำเข้าส่งออกสังกัดกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเวียดนามได้เผยว่า “จนถึงขณะนี้ สำนักงานต่างๆของรัฐสภากำลังพยายามขยายตลาดผ่านการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐและอียู ซึ่งบทบาทของสำนักงานที่เกี่ยวข้องคือ ปกป้องผู้ประกอบการ เดินพร้อมกับผู้ประกอบการ พัฒนาการบริการเพื่อสนับสนุนการส่งออก เช่น โลจิสติกส์ การปรับปรุงระเบียบราชการ ระเบียบ one stop serviceแห่งชาติและระเบียบ one stop serviceในระดับอาเซียน”
เพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวการส่งออกในปี๒๐๑๖ มาตรการของรัฐบาลคือ เน้นใช้โอกาสของตลาด อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถในการแข่งขันและการผสมผสานอย่างกว้างลึก นอกจากนี้ เวียดนามต้องเสร็จสิ้นการปฏิบัติกลไกนโยบาย ช่วยเหลือผู้ประกอบการ รับฟังเสียงพูดของผู้ประกอบการและประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างทันการณ์ในยุคแห่งการผสมผสาน.