(VOVWorld)-
เวียดนามกับสหภาพยุโรปหรืออียูกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอและคาดว่า จะลงนามข้อตกลงดังกล่าวในปลายปีนี้ ซึ่งถ้าได้รับการลงนาม ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างโอกาสมากมายให้แก่เวียดนาม เช่น การปรับลดภาษีศุลกากร ซึ่งเอื้อให้แก่การแลกเปลี่ยนทางการค้า ดึงดูดการลงทุนและขยายตลาด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากผลประโยชน์แล้ว ก็ยังมีความท้าทายที่ทั้งรัฐบาลและบรรดาสถานประกอบการเวียดนามต้องให้ความสนใจและมีการปรับปรุงทั้งด้านกลไก นโยบายและวิธีการผลิตของสถานประกอบการ
|
ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียูเป็นข้อตกลงฉบับใหม่ ฝ่ายต่างๆไม่เพียงแต่ให้คำมั่นที่จะปรับลดภาษีศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การแลกเปลี่ยนทางการค้าเท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องถึงการลงทุน บรรยากาศ การแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย ซึ่งตามนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างโอกาสมากมายให้แก่เวียดนาม โดยสินค้าเวียดนามจะมีโอกาสเจาะตลาดอียู ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียูจะช่วยเพิ่มจีดีพีของเวียดนามขึ้นเป็นร้อยละ๗-๘และมูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังอียูจะเพิ่มขึ้นร้อยละ๑๐ในปี๒๐๑๕ แต่อย่างไรก็ดี นาง เจิ่นถิแทงเติม รองผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมสังกัดหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามได้เผยว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างความท้าทายต่างๆ ซึ่งบังคับให้สถานประกอบการต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มทักษะความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ “การลงนามข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียูจะสร้างตลาดที่เปิดกว้าง โดยเฉพาะ การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและสัตว์น้ำ ซึ่งจะบังคับให้สถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของเวียดนามต้องปรับปรุงโครงสร้างสถานประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อมีส่วนแบ่งที่มั่นคงในตลาด การปรับลดภาษีศุลกากรจะเอื้อให้แก่การนำเข้าเทคโนโลยีชั้นสูงและวัตถุดิบที่มีคุณภาพดีจากอียูในราคาถูก”
สินค้าเวียดนามจะมีโอกาสเจาะตลาดอียูเมื่อข้อตกลงเอฟทีเอเวียดนาม-อียูจะได้รับการลงนาม
|
จากการลงนามข้อตกลงเอฟทีเอ อียูจะปรับลดภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเวียดนาม แต่อย่างไรก็ดี อัตราภาษีของสินค้าบางชนิด เช่น อาหาร รองเท้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังสูงมาก นอกจากนี้ การปรับลดภาษียังไม่ได้เป็นการค้ำประกันว่า สถานประกอบการเวียดนามจะประสบความสำเร็จในการส่งออกสินค้าไปยังอียูหรือไม่เนื่องจากยังมีกำแพงกีดกันทางการค้าคือ มาตรฐานด้านเทคนิค มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร ศาสตรจารย์ อารี โกโก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเอเชียสังกัดมหาวิทยาลัยธุรกิจโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กได้เผยว่า เวียดนามต้องเตรียมความพร้อมเพื่อตอบสนองกำแพงกีดกันทางการค้าและมาตรฐานด้านเทคนิคเพื่อส่งออกไปยังตลาดยุโรป “การยกเลิกกำแพงกีดกันทางการค้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ต้องมีการปรับปรุงสถาบันเศรษฐกิจ ปรับปรุงกรอบทางนิตินัยและเทคนิค การปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบทางสังคมของสถานประกอบการ ความโปร่งใสต่อการตัดสินใจและความพยายามในการต่อต้านการคอรัปชั่น เป็นต้น ซึ่งเป็นด้านสำคัญที่เวียดนามต้องมีการปรับปรุงเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดส่งออก”
จากข้อมูลสถิติของโครงการช่วยเหลือนโยบายด้านการค้าและการลงทุนของยุโรปปี๒๐๑๔เกี่ยวกับสินค้าการเกษตรของเวียดนามที่ถูกตลาดใหญ่ปฏิเสธนำเข้าได้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายจากกำแพงกีดกันทางการค้า นาย เหงวียนดิ่งกุง อธิบดีสถาบันวิจัยการบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางได้เผยว่า ขอบเขตของสถานประกอบการเวียดนามยังมีความจำกัดอยู่ ดังนั้น ทักษะความสามารถและความเข้าใจเกี่ยวกับกำแพงกีดกันทางการค้าของตลาดส่งออกก็ยังมีความจำกัดเช่นกัน ดังนั้น รัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือสถานประกอบการเกี่ยวกับการเพิ่มความรู้ในการนำเข้าและส่งออกถึงแม้ข้อตกลงเอฟทีเอยังไม่ได้รับการลงนามก็ตาม
เวียดนามกำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงและข้อตกลงการค้าเสรีกับอียูจะช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความหลากหลายของเศรษฐกิจ ดังนั้น เวียดนามต้องธำรงความคล่องตัวของนโยบายและการเข้าถึงกฎหมายสากลเพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยแปรความท้าทายในการลงนามข้อตกลงเอฟทีเอเป็นโอกาสและสร้างผลประโยชน์อย่างจริงจังให้แก่เศรษฐกิจ.