ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ขอให้ท่านทูตประเมินผลความร่วมมือในด้านต่างๆระหว่างสองประเทศ รวมถึงจุดเด่นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการทูตประชาชนในปี 2023
ท่าน นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: ปีที่แล้วครบรอบ 10 ปีการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ แต่ในภาพใหญ่ อีก2 ปีจากนี้คือปี2026 เราจะครบรอบ50 ปีความสัมพันธ์ ไทย–เวียดนาม จากตัวผมเอง ผมประเมินความสัมพันธ์ไทย–เวียดนาม ตอนนี้ เราอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดช่วงหนึ่ง ซึ่งเวลาเราพูดว่า ความสัมพันธ์ดีที่สุดนี้ เราต้องมองภาพกว้างทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ประชาชน
ด้านการเมือง มองไปในปีที่แล้ว ไทยเพิ่งมีรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของท่าน นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เราก็เริ่มจากการที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ ท่านปานปรีย์ พหิทธานุกร มาเยือนเวียดนามในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการและเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรก นั่นคือความสำคัญที่ไทยให้กับประเทศอาเซียนและในอาเซียน เวียดนามเป็นประเทศแรกใน10ประเทศ
ในด้านเศรษฐกิจ ไทยกับเวียดนาม เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน และผมมองว่าเรายังขยายเศรษฐกิจต่อไปได้ ผมคิดว่า เรายังมาได้ครึ่งเดียวของความสามารถที่ทั้งสองประเทศจะสามารถพัฒนาไปได้ ผมคิดว่า เป้าหมายด้านการค้าที่เรามีร่วมกันตอนนี้ว่า เราทำได้เกินเป้าคือ 25 พันล้านเหรียญภายในปี 2025 ประเด็นของผมก็คือว่า เป้าหมายใหม่ที่เราจะตั้ง เราควรจะตั้งขนาดไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านนายกฯทั้งสองฝ่าย แต่ในสายตาผม ผมคิดว่า เราควรตั้งเป้าหมายขึ้นเป็น 2 เท่า ก็คือ 50 พันล้านเหรียญในอนาคต ในส่วนของการลงทุน การลงทุนของเราก็ครบทุก sector ทุกภาค จะเป็นการเกษตร การผลิตอุตสาหกรรม การแปรรูป แต่อุตสาหกรรมการลงทุนที่สำคัญที่ต้องจับตามองให้ดีก็คือการลงทุนในภาคพลังงานทดแทน ไทยกับเวียดนามให้ความสำคัญในเรื่องที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลงทุนเพราะว่าทั้งสองประเทศตั้งเป้าเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งสองประเทศตั้งเป้าเรื่องinnovation ทั้งสองประเทศตั้งเป้าเรื่อง green development และทั้งสองประเทศตั้งเป้าเรื่องการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ต่อเนื่อง ผมจึงมองว่า การลงทุน ไทยน่าจะขึ้นมาอยู่ใน top 5ได้ในอนาคตอันใกล้
ท่าน นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนาม |
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ท่านประธานสภาแห่งชาติเวียดนาม เวืองดิ่งเหวะเพิ่งไปไทย เป็นการไปไทยครั้งแรกของผู้นำระดับสูงของเวียดนามตั้งแต่เรามีการตั้งรัฐบาลใหม่ การที่ท่านไปเปิดเวียดนามทาวน์ ที่ อุดรฯ ซึ่งเป็นเวียดนามทาวน์แห่งแรกในโลก อันนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดของประชาชน แล้วก็จะมีการสร้างความตระหนักรู้ให้กับไม่ใช่แค่คนไทยและคนเวียดนาม แต่ทุกคนที่เดินทางผ่านไทยก็จะรู้ว่า สองประเทศเป็นมิตรแท้ อันนั้นก็คือภาพรวม
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนการไปมาหาสู่กันระหว่างนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 140% จากไทยมาเวียดนามก็ประมาณคร่าวๆ 5 แสนคน เวียดนามไปไทยประมาณ 1 ล้าน ผมมองว่า การที่จะสนับสนุนให้คนไทยมานี่ในหลัก 1 ล้านคนไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเกินไปหรือคนเวียดนามไปไทย 2 ล้านก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเกินไป
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ขอให้ท่านทูตประเมินประสิทธิผลของการปฏิบัติยุทธศาสตร์การเชื่อมโยง ๓ ด้าน (Three Connects) และความร่วมมือในด้านใหม่ เช่น การปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลและพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของแต่ละประเทศ
ท่าน นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: ผมว่ายุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง three connects ประสบผลสำเร็จอย่างมากโดยเป็นการตกลงกันระหว่างผู้นำทั้งสองตอนที่ท่านอดีตประธานาธิบดี เหงวียนซวนฟุก เยือนไทย อย่างที่ผมเรียนเมื่อสักครู่คือผมมองว่าเป้าหมายการพัฒนาของไทยและเวียดนามนั้นสอดคล้องกัน เราไม่ได้ไปคนละทิศ เราไปในทิศเดียวกัน เกื้อหนุนกันมาก ผมเองในวาระห้วงที่ผมอยู่ในฐานะเอกอัครราชทูตไทยที่เวียดนาม ผมมุ่งเน้นที่จะให้ความเชื่อมโยงกันในทุกระดับโดยเฉพาะกับภาคกลางและภาคเหนือของเวียดนามมากยิ่งขึ้น เราจัดกิจกรรมที่เรียกว่า Meet Thailand ครั้งที่หนึ่งที่จังหวัดกว๋างจิ การจัด Meet Thailand ครั้งที่หนึ่งในระหว่างวันที่ 3-4 สิงหาคมปีที่แล้ว มีผู้เข้าร่วมประมาณเกือบ 500 คนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้บริหารระดับท้องถิ่นของเวียดนาม ในกิจกรรมMeet Thailand ครั้งที่หนึ่ง ก็ได้มีการตกลงกันในหลายๆเรื่องนอกจาก Business deal คือมีการจับคู่การค้าระหว่างบริษัทสำเร็จไปแล้ว 86 คู่ แต่มันเป็นการสร้างความรับรู้ รับทราบให้แก่นักลงทุนและผู้ประกอบการไทยว่า ภาคกลางและภาคเหนือของเวียดนามยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก พลังงานทดแทนเป็นเรื่องสำคัญที่ตอนที่ผมพบกับท่านเลขาธิการพรรคสาขาจังหวัดกว๋างจิ ท่านพูดกับผม ผมก็หวังว่าจะมีการเข้ามาของนักลงทุนไทยในเรื่องพลังงานที่จังหวัดกว๋างจิในอนาคตอันใกล้นี้ ยุทธศาสตร์สีเขียวของเวียดนามเป็นอะไรที่สอดคล้องกับนโยบาย อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG ของไทย ดังนั้น ผมเชื่อว่า การมาลงทุนของนักลงทุนไทยในด้านพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียนจะช่วยให้เวียดนามบรรลุเป้าการเป็นประเทศ Net zero ภายในปี 2050 ได้ไม่ยาก
ท่าน นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอยถ่ายภาพร่วมกับทีมภาคภาษาไทย สถานีวิทยุเวียดนาม |
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเวียดนาม-ไทยครั้งที่ 4 ในปี 2024 ท่านเอกอัครราชทูตฯ มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความหมายของการประชุมนี้และด้านที่จะเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสองประเทศในอนาคต
ท่าน นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: การมาเยือนของท่านนายกฯ นอกจากจะเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการของท่านนายกฯ เศรษฐา แล้ว ก็จะมีการประชุมครม.ร่วมครั้งที่ 4 ซึ่งที่สำคัญที่สุดของการมาครั้งนี้คือการยกระดับความสัมพันธ์ไทย เวียดนามขึ้นเป็นระดับการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่รอบด้าน เวลาเราพูดถึงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน เราพูดถึงการเป็นหุ้นส่วนในทุกเรื่อง ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือในเชิงลึก เพราะฉะนั้นการเมืองที่ผมเรียนว่า เรามีความใกล้ชิดทางการเมืองอยู่แล้ว คิดว่า สิ่งที่เราจะต้องสนับสนุนต่อไปก็คือความใกล้ชิดระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกับฝ่ายบริหารของไทย
สิ่งที่เราจะเห็นที่เปลี่ยนใหม่ ซึ่งผมคาดว่าจะเป็นเรื่องใหม่ของทั้งสองฝ่ายก็คือว่า ธรรมดาแล้ว ในการประชุมครม.ร่วม เราก็จะมีคนเข้าร่วมก็คือฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายการต่างประเทศ ฝ่ายเศรษฐกิจ การค้า และครั้งนี้ ผมคาดว่า มันจะมีคมนาคม มีพลังงาน มีสาธารณสุข มีการศึกษา นี่ผมยกตัวอย่าง ก็จะมีหน่วยงาน กระทรวง ที่เข้ามาร่วมเกี่ยวกับการประชุมครม.ร่วม กว้างมากขึ้น จะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องเข้ามาด้วย เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งหมด เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจใหม่ modern economy ทั้งหมด การเรียนภาษาไทยของคนเวียดนาม ตอนนี้ก็มีการสอนภาษาไทยในมหาวิทยาลัยเวียดนามในสามมหาวิทยาลัยหลัก ที่สำคัญเพิ่งมีการลงนาม MOU ระหว่าง FPT กับ 3 มหาวิทยาลัยของไทยคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ก็จะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะทำให้เราสามารถส่งเสริมให้คนเรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้เกิดการไปมาหาสู่กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนี้จะเป็นจุดที่หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากเพื่อก้าวไปสู้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแน่นแฟ้นที่สุด
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง