(VOVworld )-ปลายปี ๑๙๗๒ เวียดนามและสหรัฐอเมริกาได้ตกลงที่จะยุติสงครามเพื่อคืนสันติภาพสู่ผืนแผ่นดินเวียดนาม แต่สหรัฐไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้โดยได้ส่งเครื่องบินบี ๕๒ ที่ทรงสมรรถนะทิ้งระเบิดลงในกรุงฮานอยและเมืองท่าไฮฟอง ซึ่งชัยชนะเดียนเบียนฟูกลางเวหาใน ๑๒ วันคืนก่อนหน้านี้ได้ส่งผลให้รัฐบาลของนายนิสันประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยนั้นต้องกลับมานั่งเจรจากับเวียดนามและลงนามในข้อตกลงปารีสในวันที่ ๒๗ มกราคมปี ๑๙๗๓ จากนั้นได้ถอนทหารทั้งหมดออกจากเวียดนาม
|
ระบบป้องกันทางอากาศยิงเครื่องบินบี ๕๒ ตก |
ในตลอด ๑๒ วันคืนของยุทธนาการต่อต้านเวียดนามทางอากาศ สหรัฐอเมริกาได้ส่งเครื่องบินบี ๕๒ ถึง ๖๖๓ เที่ยวและเครื่องบินทางยุทธวิธีถึง ๓,๙๒๐ เที่ยวมาทิ้งระเบิดกรุงฮานอย เมืองท่าไฮฟองและเป้าหมายสำคัญของภาคเหนืออีกหลายแห่ง สำหรับกรุงฮานอยนั้น สหรัฐได้ส่งเครื่องบินบี ๕๒ ถึง ๔๔๑ เที่ยวและเครื่องบินยุทธวิธีนับพันเที่ยวทิ้งระเบิดกว่า ๑ หมื่นตันเพื่อทำลายล้างย่านชุมชนและหมู่บ้านตำบลต่างๆ โดยถนนเคิมเทียนที่มีชุมชนหนาแน่นแห่งหนึ่งของนครหลวงถูกห่าระเบิดของเครื่องบินบี ๕๒ ทำลายระยะทาง ๑ กม. ซึ่งบ้านเรือน วัดวาอาราม โรงเรียนและสถานีอนามัยราบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิต ๒๘๗ คน และอีก ๒๙๐ คนได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งมีครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกทั้งหมด ๖ คนเสียชีวิต เครื่องบินบี ๕๒ ยังทิ้งระเบิดลงในเขตชุมชนอีก ๑๐๐ แห่งเช่น โรงพยาบาลแบกมาย ย่านชุมชนยาเลิม เอียนเวียนและอานเซือง ทำให้มีคนได้รับบาดเจ็บ๑,๐๐๐ คน พันเอก เลดิ่งสี ที่ทำงานในสถาบันวิทยาศาสตร์การทหารเวียดนามสมัยนั้นเผยว่า “ ผมกับกองทัพและประชาชนเวียดนามติดตามสถานการณ์ในนครหลวงอย่างใกล้ชิดด้วยความกังวลมากเพราะได้ข่าวว่า กองทัพอากาศของสหรัฐได้ส่งเครื่องบินที่ทรงสมรรถนะคือ บี ๕๒ มาทิ้งระเบิด แต่เท่าที่ติดตามช่วงเริ่มปฏิบัติยุทธนาการตั้งแต่วันที่ ๑๘ – ๒๔ ธันวาคมเราก็รู้สึกเบาใจได้ระดับหนึ่ง เนื่องจาก พวกเราได้อดทนไม่ย่อท้อ พวกเรามีอาวุธทั้งทางวัตถุและจิตใจเพื่อต่อต้านการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ ”
การโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินบี ๕๒ ของสหรัฐ ใส่นครหลวงฮานอยและบางจังหวัดทางภาคเหนือเวียดนามที่ใช้รหัส “ ไลเนอร์บาเกอร์ ๒ ” ที่ประธานาธิบดีนิกสันหวังว่าจะสามารถทำให้ภาคเหนือของประเทศกลับสู่ยุคหินเพื่อบังคับให้รัฐบาลเวียดนามต้องยอมรับเงื่อนไขทุกประการของสหรัฐในการเจรจา ณ กรุงปารีส ซึ่งต่อมาประธานาธิบดีนิกสันได้กล่าวถึงความวิตกของตัวเองในบันทึกของตนว่า ความวิตกกังวลของท่านในช่วงนั้นมิใช่กระแสคัดค้านหรือประท้วงในประเทศและโลก หากแต่คือความเสียหายอย่างหนักของเครื่องบินบี ๕๒ พันเอก เลดิ่งสีวิเคราะห์ “ ชัยชนะของยุทธนาการเดียนเบียนฟูกลางเวหาเป็นชัยชนะของศิลปะการระดมพลังอันเข้มแข็งของประชาชนแบบบูรณาการ เป็นชัยชนะของการสนธิกำลังระหว่างกองกำลังป้องกันทางอากาศหลักกับระบบการป้องกันทางอากาศของทหารท้องถิ่นรวมทั้งการเคลื่อนไหวขององค์การและกองกำลังต่างๆในพื้นที่นครหลวงเพื่อต่อต้านเครื่องบินบี ๕๒ ทั้งนี้สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ที่ว่า ประชาชาติเวียดนามสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่แสนยากลำบากมาหลายต่อหลายครั้งจึงสามารถชนะศัตรูที่ใช้อาวุธที่ทรงอนุภาพได้ ”
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชาติเวียดนามได้รับการสนับสนุนจากชาวโลกที่ใฝ่สันติภาพ โดยประเทศสมาชิกสังคมนิยมซึ่งนำโดยอดีตสหภาพโซเวียดและจีนได้ช่วยเหลือเวียดนามทั้งด้านวัตถุและจิตใจ รวมทั้งอาวุธยุทธโทปกรณ์ ซึ่งชาวโลกที่ใฝ่สันติภาพได้ประณามสหรัฐและประธานาธิบดีนิกสันที่ได้ทิ้งระเบิดสังหารประชาชนเวียดนามผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเด็กและสตรี วงการทหารและนักการเมืองฝ่ายตะวันตกไม่สามารถหาสาเหตุความล้มเหลวของสหรัฐในการทำสงครามเวียดนามได้ แต่ พันเอกเลดิ่งสีมีความเห็นว่า “ บรรดานักศึกษาวิจัยทางทหารของต่างประเทศศึกษาหาสาเหตุที่เวียดนามสามารถชนะว่า พวกเขารู้ดีว่า สหรัฐมีศักยภาพทางทหารเป็นอันดับหนึ่งของโลก ส่วนเวียดนามเป็นประเทศที่ล้าหลัง ซึ่งเราสู้สหรัฐไม่ได้แต่เรามีพลังอันเข้มแข็งแบบเบ็ดเสร็จของประชาชนทุกภาคส่วนเหนือกว่าสหรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติคาดเดาไม่ได้ พวกเราทำการสู้รบแบบเวียดนามด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีเฉพาะของเวียดนามเอง เรามั่นใจในชัยชนะเพราะภารกิจของเราเป็นภารกิจที่ชอบธรรม โดยประชาชาติทั้งปวงพร้อมที่จะสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแผ่นดิน ดังนั้น เราไม่กลัวที่จะต้องเผชิญกับอาวุธที่ทรงอนุภาพหรืเครื่องบินประจัญบานที่ทันสมัยที่สุดของโลก ”
ชัยชนะเดียนเบียนฟูกลางเวหาในเวลา ๑๒ วันคืนปลายปี ๑๙๗๒ ได้เป็นการพิสูจน์แนวทางการเมืองและศิลปะการทหารที่ปรีชาสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่รู้จัดระดมกองกำลัง ๓ หน่วยคือ ทหารแบบแผนที่เป็นกองกำลังหลัก ทหารท้องถิ่นและหน่วยจรยุทธ์ในการสร้างเป็นเครือข่ายป้องกันทางอากาศจนสามารถทำให้กองกำลังทางอากาศของสหรัฐต้องยอมปราชัย อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอันเข้มแข็งของประชาชาติและยุคสมัย ภายใต้การนำของพรรค ประชาชนเวียดนามได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากรัฐบาลและประชาชนประเทศสังคมนิยมเพื่อนมิตร การสนับสนุนของขบวนการปลดปล่อยประชาชาติ กองกำลังปฏิวัติ ประชาธิปไตยและสันติภาพในโลก ./.