นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง และภริยาเยือนประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ |
นี่เป็นการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และกาตาร์ครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีเวียดนามในรอบ 15 ปี ประจวบกับโอกาสที่เวียดนามและซาอุดิอาระเบียรำลึกครบรอบ 25 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และทั้ง 3 ประเทศนี้ต่างเป็นเศรษฐกิจชั้นนำและประเทศมหาอำนาจด้านพลังงานของภูมิภาคตะวันออกกลาง
ร่วมมือกับเศรษฐกิจชั้นนำและประเทศมหาอำนาจด้านพลังงาน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 2 ในเขตอ่าว เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าชั้นนำในตะวันออกกลางและเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 4 ขององค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือ OPEC
เวียดนามและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมปี 1993 มูลค่าการค้าต่างตอบแทนในหลายปีมานี้เฉลี่ยบรรลุ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถึงเดือนมิถุนายนปี 2024 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีโครงการลงทุนโดยตรงหรือเอฟดีไอในเวียดนามรวม 41 โครงการ ยอดเงินลงทุนจดทะเบียนอยู่ที่เกือบ 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในหลายปีมานี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นฝ่ายรุกในการผลักดันการไกล่เกลี่ยในภูมิภาคและปฏิบัตินโยบาย “มุ่งสู่ทิศตะวันออก” อย่างเข้มแข็งและให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับบรรดาประเทศเอเชีย รวมทั้งเวียดนาม
นาย เหงวียนแทงเหยียบ เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้เผยว่า ในการเยือนครั้งนี้ คาดว่า ทั้งสองฝ่ายจะยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ ลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจในทุกด้านเวียดนาม – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือ CEPA และผลักดันการลงนามในเอกสารร่วมมือฉบับต่างๆ เพื่อปรับปรุงกรอบทางนิตินัยให้แก่ความร่วมมือทวิภาคี
“จากการยกระดับความสัมพันธ์และการลงนามในข้อตกลง CEPA ฉบับต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะพัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการลงนามในข้อตกลง CEPA ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรีฉบับแรกที่เวียดนามเจรจากับประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง – แอฟริกาจะเปิดศักยภาพที่ยิ่งใหญ่และยุคใหม่แห่งความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในหลายด้านระหว่างสองประเทศ”
ในขณะเดียวกัน ซาอุดิอาระเบียก็เป็นเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดในเขตอ่าว เป็นแหล่งที่มาของศาสนาอิสลามและมีอิทธิพลมากต่อโลกมุสลิม บรรดาประเทศอาหรับและ OPEC
นับตั้งแต่ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมปี 1999 ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับซาอุดิอาระเบียได้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเมื่อปี 2023 มูลค่าการค้าต่างตอบแทนได้บรรลุเกือบ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถึงปลายเดือนธันวาคมปี 2023 ชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในซาอุดิอาระเบียมีประมาณ 4,000 คน นาย ดั๋งซวนหยุง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำซาอุดิอาระเบียได้กล่าวว่า
“ผมมีความยินดีเป็นอย่างมากเพราะการเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ประจวบโอกาสที่ทั้งสองประเทศรำลึกครบรอบ 25 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและเป็นการเยือนซาอุดิอาระเบียครั้งที่ 2 ของนายกรัฐมนตรีใน 2 ปีติดต่อกัน อันเป็นการพูสูจน์ให้เห็นถึงความสนใจเป็นพิเศษของท่านนายกรัฐมนตรีต่อการกระชับความสัมพันธ์กับบรรดาประเทศในเขตอ่าว โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังและความสนใจที่นับวันเพิ่มมากขึ้นของซาอุดิอาระเบียต่อเวียดนาม ดังนั้น การเยือนครั้งนี้ของท่านนายกรัฐมนตรีถือเป็นนินิตหมายใหม่ในความสัมพันธ์ร่วมมือทวิภาคี”
สำหรับประเทศกาตาร์ การเยือนของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ถือเป็นโอกาสให้เวียดนามแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล การปรับเปลี่ยนด้านพลังงาน เป็นต้น และขยายความร่วมมือแบบร่วมทุนและการลงทุนร่วมกัน
โอกาสเผยแพร่ภาพลักษณ์เกี่ยวกับประเทศเวียดนามที่เต็มศักยภาพต่อบรรดาประเทศในเขตอ่าว
กิจกรรมที่สำคัญของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ณ ซาอุดิอาระเบียในปีนี้คือการเข้าร่วมและกล่าวปราศรัยในการประชุมความคิดริเริ่มการลงทุนอนาคตครั้งที่ 8 หรือ FII8 เกี่ยวกับศัยกภาพความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างเวียดนามกับภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง เป็นแขกรับเชิญที่สำคัญและผู้นำระดับสูงคนเดียวของเอเชียที่จะกล่าวปราศรัยในการปะชุมครั้งนี้ นาง เหงียนมิงห์หั่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้แสดงความคิดเห็นว่า
“เขตอ่าวคือตลาด นักลงทุน ศูนย์กลางการเงินและศูนย์กลางทางเทคโนโลยีที่ยังคงมีศักยภาพความร่วมมือกับเวียดนามอีกมาก ดังนั้น การเยือนของนายกรัฐมนตรีฝ่ามมิงชิ้ง ได้รับความหวังว่า จะสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่เพื่อกระชับความร่วมมือที่มีมาช้านานและสร้างก้าวกระโดดใหม่ให้แก่ความร่วมมือที่มีศัยกภาพเหล่านี้”
การเยือนประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศกาตาร์ และการเข้าร่วมการประชุมความคิดริเริ่มการลงทุนอนาคตครั้งที่ 8 ของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ถือเป็นการพิสูจน์อย่างมีชีวิตชีวาเกี่ยวกับแนวทางการต่างประเทศของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคสมัยที่ 13 นโยบายหลายรูปแบบหลายฝ่าย เป็นฝ่ายรุกและผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างกว้างลึก โดยให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ต่อการสร้างความหลากหลายในด้านตลาด หุ้นส่วนและห่วงโซ่อุปทานเพื่อมีส่วนร่วมปรับปรุงบรรยากาศสันติภาพ ความร่วมมือและดึงดูดแหล่งพลังต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศต่อไป.