เวียดนามและอังกฤษสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๑๙๗๓   อังกฤษเป็นหนึ่งในหลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูที่มีความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับเวียดนามที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยได้สงวนเงินลงทุนเพื่อการพัฒนาหรือโอดีเอให้เวียดนามเป็นพิเศษ อีกทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์แบบทวิภาคีรายแรกของโลกที่ให้สัญญาสงวนเงินลงทุนเพื่อการพัฒนาแก่เวียดนามจนถึงปี ๒๐๑๕  โดยเน้นในด้านที่เวียดนามต้องการเช่น การแก้ปัญหาความยากจน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การศึกษาและฝึกอบรมตลอดจนการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น  เดือนกันยายนปี ๒๐๑๐ ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ซึ่งตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศได้รับการปฏิบัติในทุกด้านโดยผ่านกลไกต่างๆไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางยุทธศาสตร์ คณะกรรมการผสมทางเศรษฐกิจและการค้า การสร้างสรรค์และปฏิบัติแผนปฏิบัติของแต่ละปี  ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันในการขยายการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูงและการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศเป็นประจำ ขยายความสัมพันธ์และร่วมมือระหว่างรัฐสภา กระทรวง และท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ ตลอดจนผลักดันความร่วมมือกันบนเวทีพหุภาคีและองค์การระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติและฟอรั่มความร่วมมือเอเชีย-ยุโรปหรืออาเซม

นโยบายหันมาสนใจต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษได้ถือเวียดนามเป็นหุ้นส่วนสำคัญและมีศักยภาพสูง  ดังนั้น เมื่อเดือนเมษายน ๒๐๑๒ นายวิลเลี่ยม ฮาคคี รมว.ต่างประเทศอังกฤษได้มาเยือนเวียดนาม ซึ่งเป็นการเยือนเวียดนามครั้งแรกของรมว.ต่างประเทศอังกฤษในรอบ ๑๗ ปี  โอกาสนี้ นายวิลเลี่ยม ฮาคคีได้ยืนยันว่า เวียดนามมีศักยภาพสูงและเป็นเพื่อนคนสำคัญของอังกฤษ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนข่าวสารนิเทศของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับเวียดนามว่า “ ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สองประเทศได้ลงนามเมื่อปี ๒๐๑๐ สะท้อนพันธกรณีของอังกฤษที่จะร่วมมือกับเวียดนามแบบทวิภาคี ในภูมิภาคและโลก เนื่องจากเวียดนามนับวันมีบทบาทสำคัญมากขึ้นบนเวทีโลก ”  ทั้งนี้ การเยือนอังกฤษครั้งนี้ของเลขาธิการใหญ่เหงวียนฟู้จ่องจะเป็นเครื่องหมายอันดีเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ก้าวเข้าสู่ระยะใหม่   ท่านอานโทนี่ สต็อคส์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำเวียดนามได้กล่าวถึงความสำคัญของการเยือนอังกฤษครั้งนี้ของท่านเหงวียนฟู้จ่องว่า  “ ท่านเหงวียนฟู้จ่องเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเยือนอังกฤษในฐานะอาคันตุกะของรัฐบาลอังกฤษตามคำเชิญของท่านเดวิด คาเมรอน เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่การเยือนระหว่างสองพรรค หากเป็นการเยือนระดับสูงสุดอย่างเป็นทางการ พวกเรากำลังวางกำหนดการเยือนสำคัญๆในปีนี้   โดยปลายเดือนมกราคมนี้ นายอาสตอร์ รมช.กลาโหมอังกฤษจะเดินทางมาเยือนเวียดนาม  ซึ่งเป็นการเยือนเวียดนามครั้งแรกของรมช.กลาโหมอังกฤษในรอบ๔๐ ปี ”

ตามกำหนดการ ทั้งสองฝ่ายจะหารือปัญหาการค้า การลงทุนและประกอบธุรกิจ  รวมถึงมาตรการผลักดันความร่วมมือกับหุ้นส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เร่งรัดกระบวนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนานาชาติที่นครดานังตลอดจนขยายความร่วมมือต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น  ในด้านการป้องกันประเทศ  ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงมาตรการผลักดันความร่วมมือใน ๓ ด้านได้แก่ ช่องทางการเจรจาตรง การซื้อขายอาวุธและสุดท้ายคือร่วมมือผ่านสถาบันและการวิจัย  ท่านอานโทนี่ สต็อคส์เผยต่อไปว่า  “ การเยือนนี้เป็นเครื่องหมายที่ดีในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอังกฤษกับเวียดนามในระยะ ๔๐ ปีที่ผ่านมา อีกทั้งประจวบเหมาะกับการครบรอบ ๒๐ ปีสภาอังกฤษปฏิบัติงานในเวียดนาม  ครบ ๒๐ ปีกระทรวงพัฒนาระหว่างประเทศของอังกฤษให้การสนับสนุนด้านเทคนิกแก่เวียดนามและครบ ๓ ปีการปฏิบัติมติว่าด้วยหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ  ปีนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับอังกฤษจะผลิดอกออกผลในทุกด้าน ซึ่งเปลี่ยนไปสู่ความร่วมมือในระยะใหม่ที่มีความกว้างลึกและความหมายยิ่งขึ้น ”

การเยือนอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือของท่านเหงวียนฟู้จ่องเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเพื่อปฏิบัติแนวทางการต่างประเทศของเวียดนามต่อไป อันเป็นนิมิตหมายสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับอังกฤษ ซึ่งมีส่วนร่วมขยายความร่วมมือในหลายด้านกับอังกฤษที่เป็นหุ้นส่วนสำคัญของเวียดนามในสหภาพยุโรปในสถานการณ์ใหม่ ./.