(Photo taichinh.vn)
|
ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีกับญี่ปุ่นเริ่มตึงเครียดตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมหลังจากที่ญี่ปุ่นแจ้งว่า จะจำกัดการส่งออกวัสดุเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังสาธารณรัฐเกาหลี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า การตัดสินใจของญี่ปุ่นได้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่ทั้งสองประเทศกำลังถกเถียงเกี่ยวกับการชดเชยให้แก่ผู้ที่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นยึดครองคาบสมุทรเกาหลี เมื่อปี 2018 ศาลสูงสาธารณรัฐเกาหลีได้ตัดสินให้บริษัท Nippon Steel & Sumitomo Metal หรือ NSSM และ Mitsubishi ต้องจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ที่ถูกบังคับให้ไปใช้แรงงานในโรงงานต่างๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทางการญี่ปุ่นก็ได้ออกมาประท้วงคำตัดสินดังกล่าว
ยังไม่มีท่าทีที่จะผ่อนปรน
ในหลายวันที่ผ่านมา การหารือระหว่างสองฝ่ายยังไม่ประสบผลแต่อย่างใดแถมยังมีการกล่าวหากันมากขึ้น โดยสาธารณรัฐเกาหลีได้แสดงความเสียใจต่อมาตรการของญี่ปุ่นและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับการส่งออกวัสดุเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งยุติข่าวที่ว่า ญี่ปุ่นได้อธิบายอย่างครบถ้วนหรือแจ้งให้สาธารณรัฐเกาหลีทราบก่อนที่จะปฏิบัติมาตรการดังกล่าว แต่ฝ่ายญี่ปุ่นได้ยืนยันว่า ยังไม่ได้รับข้อเสนอจากสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
ก่อนหน้านั้น ญี่ปุ่นได้ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในข้อกำหนดเกี่ยวกับการส่งออกวัสดุเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์และหน้าจอนับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม สิ่งที่น่าสนใจคือ สาธารณรัฐเกาหลีนำเข้าวัสดุเหล่านี้จากญี่ปุ่นถึงร้อยละ 94 ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการโจมตีเครือบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสาธารณรัฐเกาหลี เช่น Samsung Electronics, SK Hynix และ LG Electronics โดยประธานาธิบดี มุนแจอิน ของสาธารณรัฐเกาหลีได้เผยว่า การปฏิบัติมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อทำลายเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเกาหลีและมีเป้าหมายทางการเมือง พร้องทั้งเผยว่า สาธารณรัฐเกาหลีจะมีแผนตอบโต้ โดยก่อนอื่นคือศูนย์การค้าทุกแห่งในกรุงโซลได้รณรงค์ให้ “ไม่ซื้อ ไม่ขาย” สินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นและเกิดกระแสการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของสาธารณรัฐเกาหลี
ฝ่ายสาธารณรัฐเกาหลีได้ออกมากล่าวว่า การที่ญี่ปุ่นออกคำสั่งนี้ก็เพื่อตอบโต้ที่สาธารณรัฐเกาหลีเรียกร้องค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านการสร้างอุปสรรคให้แก่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสาธารณรัฐเกาหลี ส่วนญี่ปุ่นได้ยืนยันอยู่เสมอว่า ทั้งสองฝ่ายได้แก้ไขปัญหาการชดเชยนี้ผ่านข้อตกลงการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติที่ได้ลงนามกันเมื่อปี 1965 แล้ว ซึ่งสหรัฐเป็นคนกลางโดยข้อตกลงระบุว่า ญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินให้สาธารณรัฐเกาหลี 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน แต่ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี มุนเจอิน ได้กล่าวโต้ตอบว่า สนธิสัญญานี้ไม่ได้ห้ามประชาชนฟ้องร้องบริษัทญี่ปุ่นและคำตัดสินของศาลสูงสาธารณรัฐเกาหลีต้องได้รับความเคารพ
สร้างผลกระทบต่อแหล่งจัดสรรคเทคโนโลยีทั่วโลก
ความตึงเครียดทางการทูตได้ทำให้เกิดการใช้มาตรการตอบโต้กันในด้านเศรษฐกิจ บรรดาผู้สังเกตการณ์ให้ข้อสังเกตว่า อาจส่งผลเสียโดยตรงต่อเศรษฐกิจของทั้งญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลีและทั่วโลก เพราะว่า การพัฒนาเทคโนโลยีของโลกกำลังได้ชลอตัวในตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคำสั่งของญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟนและเมมโมรีการ์ด เพราะญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดโลกในการผลิตวัสดุเทคโนโลยีดังกล่าวประมาณร้อยละ 70-90 ส่วนเมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมา สมาพันธ์อุตสาหกรรมของสาธารณรัฐเกาหลีหรือ FKI ได้เรียกร้องให้ญี่ปุ่นยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ
ส่วนองค์การการค้าโลกหรือ WTO ก็แสดงความกังวลว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับสาธารณรัฐเกาหลีอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซอุปทานจึงตัดสินใจจัดการหารือเกี่ยวกับปัญหานี้ในวันที่ 23 และ 24 กรกฎาคม แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศจะดำเนินไปในทิศทางใดในขณะที่มีข่าวว่า ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาการเพิ่มรายชื่อสินค้าที่จะออกคำสั่งจำกัดอีก นอกเหนือจากวัสดุเทคโนโลยีขั้นสูง.