การที่สภายุโรปอนุมัติข้อตกลงอีวีเอฟทีเอคือสิ่งที่รอคอยของทั้งอียูและเวียดนาม โดยเฉพาะชมรมสถานประกอบการของทั้งสองฝ่ายในตลอดเกือบ 8 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงฉบับนี้เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2012 ส่วนการอนุมัติดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า อียูให้ความสำคัญต่อบทบาท สถานะและศักยภาพในการพัฒนาของเวียดนาม
แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับเวียดนาม
การที่สหภาพยุโรปหรืออียูได้อนุมัติการตัดสินใจของสภายุโรปที่ให้สัตยาบันอีวีเอฟทีเอถือเป็นการเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนการให้สัตยาบันของสหภาพยุโรป นาย Gordan Grlic Radman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโครเอเชีย ประธานหมุนเวียนของอียูได้ย้ำว่า นี่เป็นข้อตกลงที่อียูตั้งความหวังเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นการลงนามกับประเทศที่กำลังพัฒนา หลายประเทศสมาชิกของอียู โดยเฉพาะเนเธอร์แลนด์ สเปนและเบลเยียมได้ออกประกาศชื่นชมการตัดสินใจดังกล่าวของอียู โดยย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงฯ โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่การขยายตัวของเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนของโลกกำลังได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 การที่อียูพยายามเสร็จสิ้นกระบวนการนี้ แม้กระทั่งต้องหาทางอนุมัติเอกสารเนื่องจากไม่สามารถทำการประชุมธรรมดาได้ สะท้อนให้เห็นว่า อียูให้ความสำคัญเป็นอย่างมากต่อความสัมพันธ์กับเวียดนามและบทบาทของเวียดนามในภูมิภาค
เมื่อกล่าวถึงข้อตกลงฉบับนี้ นาย Pier Giorgio Aliberti เอกอัครราชทูตและหัวหน้าคณะผู้แทนของสหภาพยุโรปประจำเวียดนามได้ประเมินว่า“นี่คือข้อตกลงที่อียูตั้งความหวังเป็นอย่างมาก โดยได้เจรจาและลงนามกับหุ้นส่วนที่มีเศรษฐกิจกำลังพัฒนา เวียดนามต้องปฏิรูปให้เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศการประกอบธุรกิจให้สะดวกมากขึ้นต่อสถานประกอบการของทั้งสองฝ่าย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย เอื้อประโยชน์ให้แก่แรงงานและเกษตรกร เราได้หารือกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเวียดนามและได้รับคำมั่นจากเวียดนามเกี่ยวกับการปฏิบัติข้อตกลงฉบับนี้ในเวลาที่จะถึง”
เวียดนามพร้อมแล้ว
สำหรับเวียดนาม เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ได้ยื่นร่างเอกสารของรัฐบาลถึงนายกรัฐมนตรี นี่คือร่างเอกสารที่จะยื่นต่อประธานประเทศและสภาแห่งชาติเพื่อพิจารณาและตัดสินใจเกี่ยวกับการให้สัตยาบันข้อตกลงฉบับนี้ นอกจากนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่การบังคับใช้ข้อตกลงฯ รัฐบาลได้กำชับให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเป็นฝ่ายรุกในการจัดทำ แก้ไขและเสริมเพิ่มเติมเอกสารทางกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การบังคับใช้อีวีเอฟทีเอ นาย เจิ่นต๊วนแอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เผยว่า “เรากำลังรอคอยและตั้งความหวังว่า ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอจะได้รับการเสนอต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ ปัจจุบันนี้ เรากำลังเร่งเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนและเตรียมความพร้อมให้แก่เอกสารฉบับนี้ ตามกำหนดการณ์ อีวีเอฟทีเอจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งในเร็วๆนี้ ชมรมสถานประกอบการ ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของเวียดนามและอียูจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงฉบับนี้”
คาดว่าเมื่อได้รับการอนุมัติจากสภาแห่งชาติเวียดนามและมีผลบังคับใช้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 อีวีเอฟทีเอจะเป็นแรงกระตุ้นให้แก่การส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังตลาดอียู มีส่วนร่วมลดความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด -19
อียูเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนการค้าชั้นนำของเวียดนามด้วยมูลค่าการค้าต่างตอบแทนในปี 2019 บรรลุกว่า 5 หมื่น 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่อียูเสร็จสิ้นขั้นตอนให้สัตยาบันข้อตกลงอีวีเอฟทีเอไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันอย่างเข้มแข็งเกี่ยวกับจุดยืนของอียูและบรรดาประเทศอียูที่ต้องการเดินหน้าผลักดันความร่วมมือและการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นถึงสถานะ ศักยภาพของการพัฒนาและความพยายามของเวียดนามในการหารือกับอียูในปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสนใจอีกด้วย.