นอกรอบการประชุม กลุ่มประเทศจี 7 ขยายวงและการเยือนประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 20พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ เมืองฮิโรชิมา นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้งได้พบปะกับนาย จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา (VNA) |
เวียดนามและแคนาดาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 21สิงหาคมปี 1973 และเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2017ได้ยกระดับความสัมพันธ์ให้เป็นหุ้นส่วนในทุกด้าน ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนในทุกด้านมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อทั้งสองประเทศ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้นำทั้งสองประเทศในการพัฒนาความทสัมพันธ์ทวิภาคีให้ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ สร่งพื้นฐานให้แก่การกระชับสัมพันธไมตรีและความร่วมมืออย่างกว้างลึกและมีประสิทธิภาพในสภาวการณ์ที่ทั้งสองประเทศนับวันแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาคและโลก
ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านพัฒนาอย่างดีงาม
หลังจากยกระดับเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับแคนาดานับวันพัฒนาตามส่วนลึกในหลายด้าน โดยในด้านการเมืองและการทูต ทั้งสองประเทศได้ขยายการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูง ธำรงการพบปะทวิภาคีนอกรอบการประชุมระดับสูงและฟอรั่มพหุภาคีต่างๆในภูมิภาคและโลก เช่น ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกหรือจี 7 ขยายวงและการเยือนประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 20พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ เมืองฮิโรชิมา นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้งได้พบปะกับนาย จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาเพื่อหารือถึงความร่วมมือทวิภาคีและปัญหาต่างๆในภูมิภาคและโลกที่ให้ความสนใจร่วมกัน โดยผู้นำทั้งสองประเทศได้ยืนยันว่า ความร่วมมือด้านการค้าเป็นจุดเด่นของความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยมูลค่าการค้าต่างตอบแทนในปี 2022 บรรลุกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและพยายามเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา การรับมือความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนสูยุคดิจิทัล การปรับเปลี่ยนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจหมุนเวียนและนวัตกรรม เป็นต้น
ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศ ร่วมมืออย่างใกล้ชิดในกลไกพหุภาคีต่างๆ เช่น สหประชาชาติ ประชาคมประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสและฟอรั่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก เวียดนามสนับสนุนบทบาทเป็นสะพานเชื่อมของแคนาดาในเอเชีย-แปซิฟิกและชื่นชมส่วนร่วมของแคนาดาต่อสันติภาพ เสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ส่วนบรรดาผู้นำแคนาดาได้ยืนยันหลายครั้งว่า แคนาดามีผลประโยชน์ระยะยาวในเอเชีย-แปซิฟิกและเวียดนามเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของแคนาดาในภูมิภาคนี้ ซึ่งแคนาดามีความประสงค์ว่า จะผลักดันสัมพันธไมตรีและความร่วมมือในระยะยาวกับเวียดนาม
โรงงานผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัท Canadian Solar ที่นิคมอุตสาหกรรม VSIP ในเมืองท่าไฮฟอง (VNA) |
ยังมีศักยภาพความร่วมมืออีกมาก
ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับแคนาดาคือพื้นฐานที่มั่นคงให้แก่การพัฒนาความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ โดยหลังการยดระดับให้เป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านเมื่อปี 2017 มูลค่าการส่งออกและนำเข้าระหว่างสองประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้น ศักยภาพการส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังแคนาดายังมีอีกมาก โดยรัฐบาลแคนาดายืนหยัดปฏิบัติยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดให้มีความหลากหลาย โดยถือเวียดนามเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในเอเชีย ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่สำคัญให้แก่สถานประกอบการเวียดนามในการเข้าถึงตลาดแคนาดา เมื่อเดือนมกราคมปี 2022 กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามและกระทรวงการต่างประเทศ พาณิชย์และการพัฒนาแคนาดาได้ลงนามในบันทึกช่วยจำเพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการผสมด้านเศรษฐกิจเวียดนาม-แคนาดา ส่วนในด้านการลงทุน จนถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ แคนาดามีโครงการลงทุนในเวียดนาม 253โครงการ รวมยอดเงินลงทุนจดทะเบียน 4.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การศึกษาและฝึกอบรมก็เป็นอีกด้านที่ได้รับความสนใจพัฒนาของความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยแคนาดาให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความร่วมมือด้านการศึกษากับเวียดนาม ปัจจุบัน มีนักศึกษาเวียดนาม 21,000 คนที่กำลังศึกษาในแคนาดา ส่วนความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นของทั้งสองประเทศก็ได้รับการผลักดัน เช่น ระหว่างจังหวัดห่าติ๋งกับจังหวัด Langley รัฐบริติชโคลัมเบีย นครดานังกับเมืองแวนคูเวอร์ นครโฮจิมนห์กับโทรอนโต มีชมรมชาวเวียดนามในประเทศแคนาดาประมาณ 250,000 คน ซึ่งมีส่วนร่วมที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและเพิ่มความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแคนาดา
ทั้งนี้ ในตลอด 50ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับแคนาดานับวันพัฒนาอย่างเข้มแข็ง จริงจังแบะมีประสิทะภาพ แต่ศักยภาพของการพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างสองประเทศยังมีอีกมาก ด้วยเกียรติประวัติที่ดีงามของความสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างบรรดาผู้นำและประชาชนทั้งสองประเทศในหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคีจะพัฒนาก้าวรุดหน้าต่อไป.