ผู้สื่อข่าวของวีโอวี:เวียดนามและไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2013 ซึ่งถือเป็น 2 ประเทศแรกในอาเซียนที่สถาปนาความสัมพันธ์ในระดับนี้ ต่อจากนั้น เมื่อปี 2019 ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง” เพื่อผลักดันความร่วมมือให้เข้มแข็งและรอบด้านมากขึ้น ท่านเอกอัครราชทูตประเมินอย่างไรเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าวและทั้งสองฝ่ายได้ปฏิบัติความสัมพันธ์นี้อย่างไร
นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มารับหน้าที่เป็นเอกอัครราชทูตในช่วงเวลาที่สำคัญ 45 ปีความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม อย่างที่ตั้งคำถามมาใช่เราเป็นประเทศคู่แรกของอาเซียนที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ปี 2013 เสร็จแล้วมาปี 2019 ก็ยกระดับเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง แน่นอนมันสะท้อนความสำคัญที่เรามีให้กันและกัน การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งคือการที่จะเติบโตไปด้วยกัน พร้อมๆกัน ยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งมันมีความครอบคลุมทุกด้าน จะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ด้านประชาชน วัฒนธรรม การศึกษา การพัฒนา ทั้งหมดเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งมีความสมบูรณ์และรอบด้าน ผมมีความมั่นใจว่า ทั้งสองประเทศไทยและเวียดนามมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งมาก ตั้งแต่ระดับที่ตามความเห็นของผมคือระดับที่สำคัญที่สุดคือระดับประชาชน เมื่อประชาชนมีความรักใคร่ มีความเข้าใจ มีความผูกพันกันตั้งแต่วัฒนธรรมขึ้นมา การที่ประเทศมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กัน มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ใกล้เคียงกัน มีความเข้าใจอันดี มันก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สืบพัฒนาให้มีความใกล้ชิดสูงขึ้นไปในระดับผู้นำ ท่านนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุก มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก ตอนที่ท่าน เหงียนฟู้จ่อง ไปเยือนไทยเมื่อปี 2013 เราได้มีการสถาปนาการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ก็สะท้อนระดับหนึ่ง หลังจากนั้น เราก็มีการพบกัน การเยือนทวิภาคีต่างๆและการพบกันในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ ดังนั้น ถ้าถามผม ผมมองด้วยความสะบายใจและมีความมั่นใจว่า ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอีกเรื่อยๆ
นาย นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย |
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านจากการที่ไทยยังคงเป็น 1 ใน 10 นักลงทุนต่างชาติชั้นนำในเวียดนาม และทั้งสองฝ่ายกำลังพยายามมุ่งสู่เป้าหมายนำมูลค่าการค้าต่างตอบแทนบรรลุ 2 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่านเอกอัครราชทูตประเมินอย่างไรเกี่ยวกับศักยภาพของทั้งสองประเทศเพื่อสามารถบรรลุเป้าหมายนี้
นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เราประสบภัยร่วมกันเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ตามที่ผมเรียนคือเรากำลังมุ่งจาก 1 พัน 6 ร้อยล้านไป 2 พัน 5 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ เราก็มีความหลากหลายในสิ่งที่เรามาลงทุนไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม จนถึงอุตสาหกรรมใหม่ คือ new platform ถูกนำมาใช้ ตอนนี้ เราค้าขายกันผ่าน new economy เยอะ แล้วก็ที่สำคัญมากที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้ซึ่งผมมองเห็นว่าเราน่าจะพัฒนาในส่วนนี้ได้อีกคือการสร้าง supply chain การสร้างความเชื่อมโยงของ supply การสร้างความเชื่อมโยงของการผลิต ไทยกับเวียดนามสามารถเกื้อหนุนกัน สามารถ compliment กันในอุตสาหกรรมที่เราต่างคนต่างทำ ดังนั้น เมื่อสองประเทศสามารถสร้างความสอดกลับในการสร้าง supply chain เกี่ยวกับความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน มันจะยิ่งสร้างพลวัตในการเติบโตไปด้วยกันทางเศรษฐกิจ ผมไม่สงสัยว่า 2 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจะทำได้สำเร็จไหม ผมเชื่อว่าจะสำเร็จแน่และเกินนั้นด้วยเพียงแต่ว่า ช่วงนี้อาจจะมีความล่าช้านิดหนึ่งอย่างที่ทุกท่านทราบอยู่
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ปี 2021 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต สังคมและกิจกรรมการแลกเปลี่ยนการค้าระหว่างสองประเทศ แต่ในช่วงที่ยากลำบากนี้ทำให้เห็นถึงน้ำใจ การช่วยเหลือจุนเจือกันระหว่างประชาชนและรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงอยากทราบว่าบทบาทของการทูตประชาชนมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อการผลักดันสัมพันธไมตรีระหว่างเวียดนามกับไทย
นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: อย่างที่ผมเรียนนะครับ ผมเชื่อว่า ความสัมพันธ์มันจะเติบโตได้และจะยั่งยืนได้ คนเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ดังนั้นประเทศไทยและเวียดนามให้ความสำคัญกับความใกล้ชิดระหว่างประชาชนของทั้งสองฝ่าย ตอนที่โควิดระบาด ไทยก็ประกาศให้ความร่วมมือกับเวียดนามอย่างเต็มที่ ณ วันนี้ เราก็ยืนยันที่จะมุ่งมั่นให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันอยู่ตลอด ไม่ได้จำกัดอยู่กับการช่วยเรื่องการแพร่ระบาดของโรค แต่ว่าอย่างที่ทราบกันอยู่ เราแม้จะมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการครบ 45 ปี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับคนเวียดนามมันย้อนกลับเป็นร้อยปี เรามีความใกล้ชิดกันเสมือนเป็นพี่น้องเลย คนเวียดเกี่ยวที่อยู่ที่อีสานของไทยเราแยกแทบไม่ออกเลยว่าเป็นคนไทยหรือคนเวียดนาม อยู่กันเสมือนพี่เหมือนน้อง เมื่อไม่นานมานี้ เราก็เพิ่งมีการเฉลิมฉลองวันคล้านวันเกิดของท่านอดีตประธานโฮจิมินห์ครบรอบ 131 ปี ก็มีการเฉลิมฉลองใหญ่ เรามีสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม สมาคมมิตรภาพเวียดนาม-ไทย เยาวชน เรามีโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนมาตั้งแต่ปี 2009 ทุกปีที่จะมีเยาวชนไทยเวียดนามแลกเปลี่ยนการเยือนกัน ซึ่งเราก็รู้สึกว่า โครงการนี้ก็ทำให้เรามีความใกล้ชิดกันด้านวัฒนธรรม การศึกษา ภาษาและอื่นๆอีกมากมาย ใกล้ชิดกันได้ขนาดนี้ ผมเชื่อว่า ผอ.เริ่มเดินทางมาได้ ความสัมพันธ์ระดับประชาชนจะยิ่งแน่นแฟ้นและมีการไปมาหาสู่กันมากยิ่งขึ้น
คุณ เหงียนเอี๊ยน ผู้สื่อข่าวของวีโอวีสัมภาษณ์นาย นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอยในโอกาสครบรอบ 45 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเวียดนาม-ไทย |
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่ตามวาระในเวียดนาม ท่านเอกอัครราชทูตจะให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆในด้านไหนเพื่อนำความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาให้ใกล้ชิดและยั่งยืนมากขึ้น
นายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย: ผมให้ความสำคัญกับทุกอย่างทุกมิติเท่าๆกัน คือผมเอาคำว่า การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งเป็นตัวตั้ง เมื่อเรามีโจทย์เป็นตัวตั้ง เราต้องพัฒนาและให้ความสำคัญกับทุกด้าน ด้านการเมือง ผมมุ่งมั่นที่จะให้มีกลไกของทั้งการหารือระดับปลัดกระทรวง ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระดับรองนายกรัฐมนตรี ระดับนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นตามกำหนด จะเป็น Hybrid จะเป็น Online หรือจะเป็น Physical ได้ยิ่งดี ด้านการค้า ผมมุ่งมั่นที่จะให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมาย 2 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้ได้ภายในปี 2025 ปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือว่า เราได้ร่วมมือกับภาคเอกชนของเรา ภาคเอกชนไทย จัดตั้งสภาหอการค้าและการลงทุนไทยในเวียดนาม ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทางด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ทางด้านประชาชน ผมได้หารือร่วมกับภาคเอกชนไทย ผมในฐานะภาครัฐก็จะมุ่งให้ความร่วมมือระดับรัฐกับเอกชน PPP มุ่งนำให้ความสัมพันธ์เราให้มีความสมดุลรอบด้าน
ผู้สื่อข่าวของวีโอวี: ขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตเป็นอย่างสูง./.