ในการตอบสัมภาษณ์สำนักข่าวเวียดนาม นายหวูเตี๊ยนหลก ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม-วีซีซีไอได้ให้ข้อสังเกตุว่า ในช่วงแรกนี้ รายการสินค้าที่ถูกปรับภาษีของทั้งฝ่ายสหรัฐและจีนยังอยู่ในขอบเขตจำกัดและมิใช่สินค้าที่เป็นจุดแข็งของเวียดนามดังนั้นผลกระทบโดยตรงจากปัญหานี้ต่อการส่งออกของเวียดนามก็จะมีไม่มากนักแต่ในระยะยาวก็ยากที่จะประเมินผลกระทบที่แน่นอน ซึ่งถ้ามองในเชิงบวก ผู้ประกอบการเวียดนามสามารถจะใช้ประโยชน์โอกาสที่ดีนี้เพื่อขยายการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐและตลาดจีนถึงแม้รายการสินค้าที่ถูกปรับภาษีของทั้งสองประเทศดังกล่าวมิใช่เป็นจุดแข็งของเวียดนาม แต่ในทางกลับกัน เมื่อสินค้าจีนเข้าตลาดสหรัฐยากขึ้นก็อาจจะปรับเปลี่ยนทิศทางไปยังตลาดอื่นและเวียดนามก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาการเสียเปรียบดุลการค้าจีนอย่างรุนแรง และหากมองในภาพรวมแล้ว สงครามการค้าสหรัฐ-จีนอาจจะส่งผลทำให้กระแสการค้าโลกถูกปรับเปลี่ยน การแข่งขันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นในตลาดหลายแห่งรวมทั้งเวียดนาม
ทั้งนี้ประธานวีซีซีไอ หวูเตี๊ยนหลกได้เสนอกระบวนการที่สถานประกอบการต้องคำนึงเพื่อรับมือและปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์ใหม่โดยชี้ว่า เวียดนามเป็นเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาและกระบวนการเปิดตลาดค่อนข้างสูงรวมถึงยังต้องพึ่งความผันผวนของตลาดโลก ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่สำคัญที่สุดคือการติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมปรับกระบวนการผลิตและประกอบธุรกิจอย่างคล่องตัวที่สุด ควบคู่กันนั้นผู้ประกอบการยังต้องแสวงหาตลาดส่งออกใหม่ที่สะดวกและมีเสถียรภาพมากกว่า โดยช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวสำคัญที่บรรดาสถานประกอบการเวียดนามต้องระดมพลังและสติปัญญาเพื่อยกระดับทักษะความสามารถ ลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ตนเอง นั่นคือพลังภายในเพื่อช่วยให้เราอยู่รอดและสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้โดยเฉพาะในยุคแห่งการพัฒนาของการปฏิวัติอุตสาหกรรม4.0.