 เช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน ณ ทำเนียบประธานประเทศ รองประธานประเทศ หวอถอแอีงซวนได้เป็นประธานในพิธีต้อนรับเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารและเจ้าหญิง แมรี่ เอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก |
ในการให้การต้อนรับเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารและเจ้าหญิง แมรี่ เอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก วันที่ 1 พฤศจิกายน ณ กรุงฮานอย ประธานประเทศ เหงวียนซวนฟุกได้ย้ำว่า ทั้งสองประเทศมีศักยภาพความร่วมมืออีกมาก พร้อมทั้งแสดงความประสงค์ว่า ทางสถาบันกษัตริย์และรัฐบาลเดนมาร์กจะสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างสองประเทศในเวลาที่จะถึง พร้อมทั้งเสนอให้เดนมาร์กให้ความช่วยเหลือเวียดนามเกี่ยวกับประสบการณ์ เทคโนโลยีและการเงินในการปฏิบัติคำมั่นเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งเชื่อมั่นว่า บรรดาสถานประกอบการเดนมาร์กจะผลักดันการลงทุนและการประกอบธุรกิจในเวียดนามในด้านต่างๆที่เดนมาร์กมีจุดแข็งและเวียดนามมีความต้องการ ใช้โอกาสจากข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียู ขยายความร่วมมือในด้านการศึกษาและฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเพื่อผลักดันความสัมพันธ์มิตรภาพ ความเข้าใจระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
ส่วนเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กทรงแสดงความเชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศมีโอกาสมากมายเพื่อพัฒนาในด้านการขยายตัวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการปรับเปลี่ยนด้านพลังงาน พร้อมทั้งแสดงความประสงค์ที่จะส่งเสริมการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับความร่วมมือทวิภาคีอย่างมีประสิทธิภาพและจริงจัง
ก่อนหน้านั้น ในการพบปะหลังพิธีต้อนรับ รองประธานประเทศ หวอถิแอ๊งซวนได้แสดงความประสงค์ว่า ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับเดนมาร์กจะได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาในทุกด้านผ่านการธำรงการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ ความร่วมมือในกลไกพหุภาคี โดยเฉพาะในปี 2023 ที่ประจวบกับการฉลองครบรอบ 10 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านเวียดนาม-เดนมาร์ก
 เจ้าชายเฟรเดอริก ทรงกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุม |
ในวันเดียวกัน ในการกล่าวปราศรัยในฟอรั่มสุดยอดพลังงานที่ยั่งยืนภายใต้หัวข้อ “สร้างสรรค์อนาคตแห่งสีเขียว” เจ้าชายเฟรเดอริกทรงยืนยันว่า
“ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเดนมาร์กในเวลาที่ผ่านมา สำหรับด้านการธุรกิจ เดนมาร์กเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ในเวียดนาม สถานประกอบการเดนมาร์ก 135 แห่งกำลังลงทุนในเวียดนาม ส่วนในยุทธศาสตร์และขอบเขตที่ใหญ่กว่า ทั้งสองประเทศต่างมุ่งเน้นอนาคตแห่งสีเขียว การบรรลุเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้อยู่ที่ 0% ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นความปรารถนาและนับวันมีความสำคัญเมื่อพวกเราต้องเผชิญกับวิกฤตด้านพลังงานในทั่วโลก เรามีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันแต่มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน โดยเฉพาะในการแก้ไขผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ”
ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกช่วยจำ 14 ฉบับ.