เวียดนามและสหภาพยุโรปลงนามข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีหรืออีวีเอฟทีเอและข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนหรืออีวีไอพีเอ ณ กรุงฮานอย
|
หลังจากที่อีวีเอฟทีเอมีผลบังคับใช้ ข้อตกลงฉบับนี้จะช่วยลดภาษีร้อยละ 65 รายการต่อสินค้าอียูที่เวียดนามนำเข้าและร้อยละ 71 รายการต่อสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังอียู โดยรวมอีวีเอฟทีเอจะยกเลิกกำแพงภาษีร้อยละ 99 รายการระหว่างสองฝ่าย ดังนั้น นอกจากเปิดโอกาสด้านเศรษฐกิจ อีวีเอฟทีเอยังคงรักษาให้การค้า การลงทุนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้เกิดขึ้นพร้อมกันผ่านการตั้งมาตรฐานสูงสุดเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน ความปลอดภัย ปกป้องสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค ส่วนข้อตกลงอีวีไอพีเอจะช่วยปกป้องและเพิ่มการลงทุนในเวียดนามของอียู
สำหรับการลงนามครั้งนี้ ดร. จูหว่างลอง อาจารย์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียได้ให้ข้อสังเกตว่า ข้อตกลงสองฉบับนี้จะช่วยยกระดับสถานะของเวียดนามบนเวทีโลก เพราะนี่เป็นข้อตกลงที่สมบูรณ์มากที่สุดที่อียูได้ลงนามกับประเทศที่อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการธุรกิจของอียูกับประเทศเศรษฐกิจเพิ่งเกิดใหม่อื่นๆ การลงนามข้อตกลงสองฉบับนี้ก็ช่วยให้เวียดนามมีฐานะทัดเทียมกับหุ้นส่วนรายใหญ่อื่นๆในเอเชียของอียู เช่น ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี ในกลุ่มอาเซียน สิงคโปร์เป็นประเทศเดียวที่อียูได้ลงนามกัน และเวียดนามเป็นประเทศต่อมา ฝ่ายอียูได้ชื่นชมการลงนามข้อตกลงสองฉบับนี้กับเวียดนามและถือว่านี่คือก้าวเดินที่สำคัญให้อียูสามารถเข้าถึงข้อตกลงร่วมกับอาเซียน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความคาดหวังของอียูต่อเวียดนามได้เพิ่มขึ้น การลงนามข้อตกลงสองฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า เวียดนามให้คำมั่นปฏิบัติตามมาตรฐานสูงของโลกในกิจกรรมด้านการค้า การลงทุน การใช้แหล่งบุคลากร สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการปฏิบัติคำมั่นนี้จะช่วยให้เวียดนามสร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับประเทศที่คล่องตัว มีอารยะธรรม ให้ความเคารพกฎระเบียบและมูลค่าร่วม.