การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ประเทศเวียดนามที่เจริญรุ่งเรือง

Ngọc Anh
Chia sẻ
(VOVWORLD) - เศรษฐกิจภาคเอกชนของเวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นแรงผลักดันสู่ความเจริญรุ่งเรืองของเวียดนาม
การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ประเทศเวียดนามที่เจริญรุ่งเรือง - ảnh 1บรรดาผู้แทนที่เข้าร่วมการเสวนา "การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชน-แรงผลักดันเพื่อประเทศเวียดนามที่เจริญรุ่งเรืองในศักราชแห่งการผงาดของประชาชาติ"

 

ปัจจุบัน เวียดนามมีสถานประกอบการเกือบ 1 ล้านแห่ง และธุรกิจครัวเรือนประมาณ 5 ล้านครัวเรือน เศรษฐกิจภาคเอกชนมีส่วนร่วมต่อจีดีพีประมาณร้อยละ 51 งบประมาณแผ่นดินกว่าร้อยละ 30 สร้างงานทำกว่า 40 ล้านตำแหน่ง คิดเป็นกว่าร้อยละ 82  ของจำนวนแรงงานทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ

ในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชน รัฐเวียดนามได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารจัดการอย่างเข้มแข็ง โดยเปลี่ยนจากกลไกการบริหารจัดการธุรกิจเป็นกลไกสนับสนุนสถานประกอบการ โดยเฉพาะมติที่ 68 ของกรมการเมืองพรรคเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมปี 2025 เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนได้ระดมแหล่งพลังที่สำคัญของประเทศ ดร. หวอชี้แถ่ง อดีตรองหัวหน้าสถาบันวิจัยการบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางเผยว่า

“มติที่ 68 ระบุว่า สถานประกอบการภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด เมื่อกล่าวถึงเศรษฐกิจเชิงตลาด เป็นที่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นหัวใจของเศรษฐกิจเชิงตลาด การเติบโตต้องยั่งยืน ครอบคลุม  เศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการอยู่รอด”

สำหรับฝ่ายสถานประกอบการ นาย เลเวียดหาย ประธานเครือบริษัทหว่าบิ่งแสดงความเห็นว่า

“มติที่ 68 ว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นนโยบายที่ถูกต้องและจำเป็นต้องนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ประสบการณ์ของสาธารณรัฐเกาหลีก็มีความหมายอย่างยิ่ง เวียดนามสามารถเรียนรู้จากสาธารณรัฐเกาหลีได้ เช่นการที่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีให้การสนับสนุนเครือบริษัทฮุนไดในการฟันฝ่าวิกฤต รัฐบาลควรดำเนินนโยบายสนับสนุนสถานประกอบการชั้นนำ”

ถ้าหากมีสภาพแวดล้อมการพัฒนาที่เอื้ออำนวย สถานประกอบการภาคเอกชนของเวียดนามจะสามารถก้าวไปได้ไกลและแข่งขันในตลาดโลกได้ นาย จิ่งบ๊าหยุง ผู้อำนวยการบริษัท ซาวดาลัด เผยว่า

“สถานประกอบการภาครัฐไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินช่วยเหลือจากรัฐ แต่ต้องการการอำนวยความสะดวกด้านกลไกจากรัฐเพื่อพัฒนา เราควรเริ่มจากความแข็งแกร่งภายในของสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งเป็นสถานประกอบการที่มีศักยภาพ ในทางเป็นจริง ในโลกนี้มีสถานประกอบการขนาดใหญ่มากมายที่ประสบความสำเร็จที่มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นสถานประกอบการขนาดย่อม”

ปัจจุบัน สถานประกอบการภาคเอกชนเวียดนามหลายแห่งได้สร้างแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ยืนยันถึงสถานะของตนทั้งในภูมิภาคและตลาดต่างประเทศ เช่น Vingroup, VinFast, Sungroup, Thaco และ Vinamilk  เศรษฐกิจภาคเอกชน เศรษฐกิจภาครัฐ และเศรษฐกิจแบบหมู่คณะเป็นกลุ่มแกนหลักในการสร้างเศรษฐกิจที่อิสระและพึ่งตนเอง ศาสตราจารย์ ดร.เหงียนหมาย ประธานสมาคมความร่วมมือด้านการลงทุนจากต่างประเทศแสดงความเห็นว่า

“เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอิสระและพึ่งพาตนเอง เราต้องส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจของรัฐและเอกชนในประเทศ เพื่อมุ่งสู่การนำเศรษฐกิจภาคเอกชนภายในประเทศและเศรษฐกิจภาครัฐบรรลุถึงร้อยละ 55 เศรษฐกิจถึงจะพึ่งพาตนเองได้ ปัจจุบัน สถานประกอบการภาคเอกชนของเวียดนามมีศักยภาพในการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและบริการที่สำคัญหลายโครงการ ซึ่งเมื่อ 15 ปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ดำเนินการโดยสถานประกอบการต่างชาติ”

การพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างสรรค์ประเทศเวียดนามที่เจริญรุ่งเรือง - ảnh 2บรรดาผู้แทนที่เข้าร่วมการเสวนา

ในสภาวการณ์ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 และปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการคงอยู่ของสถานประกอบการ ศาสตราจารย์ เหงียนดิ่งทั้ง รองประธานสมาคมการสื่อสารดิจิทัลแห่งเวียดนามยืนยันว่า

“การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบการ รวมถึงสถานประกอบการภาคเอกชน สถานประกอบการภาคเอกชนกำลังมียุทธศาสตร์ที่ครบถ้วน มีเป้าหมายที่ชัดเจนและปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ การลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมและสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของตนเอง”

เวียดนามตั้งเป้าไว้ว่า จะมีสถานประกอบการที่ดำเนินงานอยู่ 2 ล้านแห่งภายในปี 2030 โดยมีสถานประกอบการขนาดใหญ่อย่างน้อย 20 แห่งเข้าร่วมห่วงโซ่คุณค่าโลก มีส่วนร่วมต่อจีดีพีตั้งแต่ร้อยละ 55-58 วิสัยทัศน์ถึงปี 2045 เศรษฐกิจภาคเอกชนของเวียดนามจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่ง ยั่งยืน และมีส่วนร่วมต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตระดับโลกอย่างแข็งขัน มีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคและโลก มุ่งมั่นที่จะมีสถานประกอบการอย่างน้อย 3 ล้านแห่งภายในปี 2045 ซึ่งจะมีส่วนร่วมต่อจีดีพีร้อยละ 60.

คำติชม