ตามประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิมนาน ในงานเทศกาลต่างๆของชนเผ่าห่าญี่หนุ่มสาวที่ร้องเพลงโต้ตอบกันจะต้องคลุมผ้าทั้งตัวหรือเมื่อไปหาคู่รักผู้ชายต้องคลุมผ้าไปที่บ้านผู้หญิงเพื่อชวนออกไปข้างนอกพูดคุยทำความเข้าใจกัน  นายลี้เมอซ้า ชาวห่าญี่ที่อ.บ๊าตซาด จ.ลาวกายเผยว่า“ต้องคลุมผ้าไปหาคนรักที่บ้านอย่างน้อย3-4ครั้งแล้วเมื่อถึงงานเทศกาลต่างๆก็จะสามารถมาชวนไปเที่ยวได้”

ประเพณีการคลุมผ้าไปหาคนรักของชาวห่าญี่ได้รับการสืบทอดและปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเวลาหลังอาหารค่ำคือช่วงที่เยาวชนในหมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่อไปหาคนรัก หากชอบลูกสาวบ้านไหนก็จะถือผ้าห่มมาถึงหน้าบ้านแล้วคลุมผ้าทั้งตัวก่อนเข้าบ้านขออนุญาตให้ลูกสาวเขาออกไปข้างนอก ซึ่งถ้าหากตกลงให้ลูกสาวไปพ่อแม่ของสาวคนนั้นก็จะไม่ขัดขวาง นางกาวซีไหม ชาวอ.บ๊าตซาดได้เผยว่า“ถ้าหากสองคนยังไม่รู้จักกันก็มานั่งคุยกันเพื่อทำความเข้าใจ หากคุยแล้วถูกใจก็นั่งคุยกันต่อแต่ถ้าไม่ชอบฝ่ายหญิงก็สามารถกลับบ้านได้ทันที ในช่วงที่นั่งคุยกันก็ต้องห่มผ้าไว้เพราะอากาศในเขตเขาสูงนั้นตอนเย็นจะหนาวมาก”

ตามประเพณีของชนเผ่าห่าญี่ หนุ่มสาวเมื่อนั่งคุยกันต้องห่มผ้าแต่ห้ามทำอะไรเกินขอบเขต โดยเฉพาะห้ามมีลูกก่อนแต่งงานถ้าเกิดฝ่าฝืนกฎระเบียบทั้งสองฝ่ายชายหญิงจะถูกลงโทษอย่างหนักตามกฎระเบียบของหมุ่บ้าน ซึ่งฝ่ายหญิงจะถูกไล่ให้ไปอาศัยนอกหมู่บ้านจนกว่าจะมีคนมาขอแต่งงานถึงจะได้กลับครอบครัว

การแสดงศิลปะในงานสำคัญต่างๆเช่นงานแต่งงานของชาวห่าญี่

ภายหลังได้พบปะกันมาสักระยะหนึ่งเมื่อหนุ่มสาวได้ตัดสินใจมาอยู่ร่วมกันก็แจ้งให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเพื่อจัดงานแต่งงาน โดยงานแต่งงานของชนเผ่าห่าญี่ก็จัดขึ้นแบบเรียบง่ายและไม่มีการเรียกสินสอดทองหมั้นอะไรมากมาย นางกาวซีไหม เผยว่า“สินสอดที่ใช้ในงานแต่งงานมีแค่ไก่ตัวผู้หนึ่งตัวเพื่อทำพิธีเซ่นไหว้บอกให้บรรพบุรุษรับทราบว่าครอบครัวรับสมาชิกใหม่ หลังจากนั้นก็เชิญเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องมาร่วมรับประทานอาหารเพื่อฉลองกันหลังจากนั้นถึงจะไปแจ้งให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิงรับทราบ ซึ่งที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองฝ่ายได้รักกันและตกลงมาอยู่ด้วยกันก็พอแล้ว”

ปัจจุบันนี้ แม้จะมีการสืบทอดประเพณีดั้งเดิมหลายอย่างแต่การจัดงานแต่งงานของชาวห่าญี่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเพื่อให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ โดยจะมีการส่งพ่อสื่อไปสู่ขอสามครั้งก่อนงานแต่ง ครั้งแรกจะนำสิ่งของมาพบปะพูดคุยกับฝ่ายหญิง ครั้งที่สองนำเหรียญเงินมามอบให้แก่เจ้าสาวและครั้งที่สามจะเป็นการกำหนดวันจัดงาน ตามประเพณีดั้งเดิมนั้น แล้วแต่ฐานะบางครอบครัวยังจัดงานแต่งงานสองครั้ง ซึ่งอาจจะหลังจากงานแต่งครั้งแรกสองสามปีหรือก็มีบางคนแต่งงานกันแล้ว50-60ปีถึงจะจัดงานแต่งครั้งที่สองโดยมีความหมายสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นให้แก่คนในครอบครัว.