ในโอกาสปีใหม่2012 นายกฯNguyen Tan Dung ได้มีบทความเกี่ยวกับการปรับปรุงระเบียบเศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัว ซึ่งในรายการวิเคราะห์สถานการณ์วันนี้ นักข่าววิทยุเวียดนามขอนำเสนอใจความสำคัญของบทเขียนดังกล่าวขอเชิญท่านติดตามรับฟัง
ใน ต้นบทความ นายกฯได้เขียนว่า เอกสารสำคัญของสมัชชาพรรคสมัยที่11ได้ระบุชัดว่าต้องทำการปฏิรูปโครงสร้าง เศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัวเพื่อการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน โดยปัจจัยพื้นฐานที่จะเอื้อให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จก็คือการ ดำเนิน3ก้าวกระโดดแห่งยุทธศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพโดยการปรับปรุงระเบียบ เศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นถือเป็นก้าว กระโดดที่สำคัญที่จะส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการปฏิรูปและปรับเปลี่ยนรูปแบบการ ขยายตัว ซึ่งภายหลังได้ดำเนินแนวทางเปลี่ยนแปลงใหม่มากว่า20ปี ถึงแม้เวียดนามจะสามารถบรรลุผลงานที่สำคัญต่างๆในการสร้างสรรค์ระเบียบ เศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมแต่ระเบียบการนั้นก็ยังไม่มีความสมบูรณ์ จากสถานการณ์นั้นในปี2012เราต้องเน้นระดมพลังและให้ความสนใจต่อการปรับปรุง ระเบียบการนี้ให้มีความสมบูรณ์ตามแนวทางที่สมัชชาพรรคสมัยที่11ได้กำหนดไว้ โดยจะต้องเริ่มทำการปรับปรุงจากพื้นฐานของระเบียบเศรษฐกิจเชิงตลาดที่ทันสมัยเพื่อสร้างเป็นบรรทัดฐานในการปรับปรุงซึ่งได้แก่ การพัฒนาตลาดในรูปแบบต่างๆอย่างพร้อมเพรียง พัฒนาปัจจัยที่สำคัญของเศรษฐกิจเชิงตลาดมีความสมบูรณ์สามารถสนับสนุนกันในการดำเนินงาน ระเบียบเศรษฐกิจเชิงตลาดต้องการบรรยากาศการแข่งขัน ที่เสมอภาค มีความโปร่งใสและเปิดเผยด้านนโยบายการบริหาร การวางแผนพัฒนาและการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ นอกจากนั้นในสภาวการณ์โลกาภิวัติน์และการผสมผสานที่นับวันกว้างลึกยิ่งขึ้น จำเป็นต้องกำหนดสถานะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและกลไกตลาดตลอดจนต้องมุ่งสู่ ผู้บริโภคและถือผู้บริโภคเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนา พยายามปกป้องสิทธิผลประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งจากลักษณะพิเศษของระเบียบเศรษฐกิจเชิงตลาดที่ทันสมัยดังกล่าวจะช่วย เอื้ออำนวยเงื่อนไขที่ดีเพื่อให้ประเทศฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างมี ประสิทธิภาพ.
นายกฯ เหงวียนเตินหยุงได้แสดงความเห็นว่า บนพื้นฐานของลักษณะที่โดดเด่นของเศรษฐกิจเชิงตลาดที่ทันสมัยนั้น เวียดนามต้องสร้างก้าวกระโดดแห่งยุทธศาสตร์เพื่อดำเนินแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัว โดยจากพื้นฐานของวิสัยทัศน์ในยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมช่วง ปี2011-2020 ที่ประชุมคณะกรรมการกลางพรรคครั้งที่3สมัยที่11ก็ได้กำชับให้ทำการปฏิบัติ กระบวนการนี้ในทันทีคือตั้งแต่ช่วงปี2011-2015ด้วยเป้าหมายของการปฏิรูป เศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัวคือการผลักดันการปรับเปลี่ยนโครง สร้างหน่วยงานการผลิตและการบริการต่างๆตามแนวทางเพิ่มปริมาณ เพิ่มคุณภาพ ประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้ สามารถเข้าร่วมขั้นตอนการผลิตที่มีมูลค่าสูงในระบบการผลิตโลกและภูมิภาค โดยกระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจจะได้รับการปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงตาม3แนวทาง คือ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานการผลิตและการบริการ ปรับปรุงสถานประกอบการและปรับยุทธศาสตร์การตลาด ควบคู่กันนั้นยังต้องทำการปรับปรุงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ สังคมตามแผนการแบบเบ็ดเสร็จ มีการแบ่งอำนาจอย่างเข้มงวดรัดกุมตามวิสัยทัศน์ระยะยาวและมีความเชื่อโยง ระหว่างท้องถิ่นต่างๆ แก้ไขปัญหาการลงทุนแบบกระจัดกระจายและหันมาให้ความสนใจแก่โครงการที่จำเป็น ลดสัดส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐ มีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและสถานประกอบการต่างประเทศ พัฒนาแนวทางความร่วมมือใหม่โดยเฉพาะแนวทางการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ตลอดจนการยกระดับการลงทุน นอกจากนั้นเนื้อหาต่างๆในแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจต้องได้รับการปฏิบัติ ในกระบวนการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่องโดยต้องเริ่ม จากด้านที่มีความเร่งด่วนคือการปฏิรูปการลงทุนภาครัฐ ระบบการเงิน ธนาคารพาณิชย์และปฏิรูปสถานประกอบการภาครัฐ
ใน บทเขียนนายกฯยังยืนยันว่าในปี2012นี้เพื่อผลักดันกระบวนการปรับเปลี่ยนรูป แบบการขยายตัวนั้นนอกจากจะต้องอนุมัติแผนการพัฒนาตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว รัฐบาลจะประกาศใช้นโยบายต่างๆเพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในสถาน ประกอบการ กำหนดมาตรฐานด้านเทคโนโลยีในกฎหมายการลงทุนภาครัฐและโครงการประมูลต่างๆ ส่งเสริมโครงการที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและโครงการที่มีการ วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เป็นต้น ควบคู่กับการปฏิรูปเศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายตัวในปี2012ทั้ง ประเทศยังต้องปฏิบัติตามการชี้นำของกรมการเมืองและมติที่11ของรัฐบาลเกี่ยว กับการรักษาเสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจมหภาค ควบคุมเงินเฟ้อ รักษาสวัสดิการสังคมและธำรงการขยายตัวในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งนับเป็นหน้าที่อันหนักหน่วงและลำบากมากโดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจ โลกกำลังเป็นไปอย่างซับซ้อน
ในช่วงท้ายบทความ นายกฯได้สรุปว่า โดยพื้นฐานแล้วเวียดนามมีความได้เปรียบในด้านการสร้างจิตสำนึกที่เป็นเอกฉันท์ในระบบการเมือง หน่วยงานบริหารภาครัฐตั้งแต่ส่วนกลางจนถึงส่วนท้องถิ่นรวมไปถึงสถานประกอบการได้มีความตั้งใจเป็นอย่างสูง ซึ่งนับเป็นพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อมุ่งปฏิบัติเป้าหมายนำประเทศเข้าสู่ระยะแห่งการพัฒนาใหม่นั่นคือกระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืน./.