ภูมิภาคตะวันออกกลางใกล้ตกเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ

Quang Dung
Chia sẻ
(VOVWORLD) - ถึงแม้จะมีความพยายามทางการทูตจากหลายฝ่าย แต่การเผชิญหน้าระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นการปะทะครั้งใหม่เมื่อกองทัพอิสราเอลทำการโจมตีใส่ภาคใต้ของเลบานอน ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้ใกล้ตกเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ คำเตือนนี้ปรากฏชัดเจนมากขึ้นในคืนวันที่ 1 ตุลาคม ที่อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่ทันสมัยที่สุดใส่อิสราเอลเป็นครั้งแรก
ภูมิภาคตะวันออกกลางใกล้ตกเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ - ảnh 1รถถังของกองทัพอิสราเอลถูกส่งไปยังพื้นที่ชายแดนในสภาวการณ์ที่อิสราเอลเริ่มยุทธนาการโจมตีภาคใต้ของเลบานอนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม (Reuters)

 

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม กองทัพอิสราเอลหรือ IDF ได้ประกาศเปิดยุทธนาการโจมตีภาคพื้นดินแบบจำกัดอย่างเป็นทางการใส่ภาคใต้ของเลบานอนเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางทหารของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งนี่นำไปสู่การปะทะครั้งใหม่อย่างเป็นทางการด้วยความเสี่ยงที่ร้ายแรงมากมาย

แนวรบใหม่

ยุทธนาการโจมตีภาคพื้นดินของกองทัพอิสราเอลใส่ภาคใต้ของเลบานอนเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่กองทัพอากาศอิสราเอลทำการโจมตีทางอากาศอย่างหนักเป็นเวลาหลายวันใส่พื้นที่หลายแห่งในเลบานอน รวมถึงกรุงเบรุต ทำลายโครงสร้างพื้นฐานและยุทโธปกรณ์จำนวนมากของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และสังหารผู้นำหลายคนของกลุ่มนี้ รวมทั้งนาย ฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ ผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อวันที่ 27 กันยายน ในการประกาศเปิดยุทธนาการโจมตีภาคพื้นดิน กองทัพอิสราเอลได้เผยว่า ต้องกำจัดภัยคุกคามใกล้ชายแดนอิสราเอล-เลบานอน และกองทัพอิสราเอลจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการโจมตีเหมือนการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้วอีกครั้ง นาย แดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอลได้ประกาศว่า

“เราจะไม่ปล่อยให้เกิดการโจมตีในพื้นที่ชายแดนของอิสราเอลเหมือนการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว และจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ครอบครัวชาวอิสราเอลสามารถกลับบ้านได้และใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมั่นคง”

ตามความเห็นของบรรดาผู้สังเกตการณ์ ถึงแม้ว่ากองทัพอิสราเอลจะย้ำว่า ยุทธนาการโจมตีภาคพื้นดินใส่บริเวณชายแดนอิสราเอล-เลบานอนนั้นอยู่ในวงจำกัดและมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่เมื่อการปะทะบานปลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสงครามในปัจจุบัน สถานการณ์ก็ไม่สามารถควบคุมได้ นาย พอล มัวร์คราฟต์  ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์นโยบายต่างประเทศในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษได้แสดงความเห็นว่า กองทัพอิสราเอลได้ถอดบทเรียนมากมายหลังยุทธนาการโจมตีภาคพื้นดินครั้งก่อนใส่เลบานอน แต่การต่อสู้กับกลุ่มฮิซบอลลอฮ์ก็ไม่ง่ายเมื่อเทียบกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาเนื่องจากเป็นองค์กร ที่มีศักยภาพทางการทหารและมีเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพมาก ตามความเห็นของนาย พอล มัวร์คราฟต์  สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ ถ้าหากอิหร่านซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตัดสินใจที่จะสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น สถานการณ์ก็จะรุนแรงมากขึ้น และจะไม่จำกัดอยู่แค่ในภาคใต้ของเลบานอนเท่านั้น

“สิ่งนี้อาจก่อให้เกิดการปะทะครั้งใหญ่ในตะวันออกกลาง ซึ่งหมายความว่า อาจจะก่อให้เกิดขบวนการอินติฟาดาครั้งที่ 3 ในเขตเวสต์แบงก์ หรืออาจกระตุ้นให้เกิดสงครามอื่นๆ มากขึ้น เช่น การปะทะระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มฮูธิในเยเมน หรือซีเรียอาจส่งกองกำลังกลับไปยังที่ราบสูงโกลาน ซึ่งจะเป็นสงครามที่ใหญ่มาก”

คำเตือนของนาย พอล มัวร์คราฟต์  กลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากขึ้นหลังจากที่เมื่อคืนวันที่ 1 ตุลาคม กองทัพอิหร่านยิงขีปนาวุธเกือบ 200 ลูกใส่อิสราเอล โดยประกาศว่า เป็นการตอบโต้การสังหารผู้นำกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงการยิงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่ทันสมัยที่สุดของอิหร่านเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการทวีความรุนแรงที่น่ากังวลเมื่อเทียบกับการโจมตีที่คล้ายกันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และทำให้อิสราเอลตกเข้าสู่สถานการณ์ที่ถูกบังคับให้ต้องตอบโต้อย่างรุนแรง

ภูมิภาคตะวันออกกลางใกล้ตกเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ - ảnh 2นาย อับดุลลาห์ บูฮาบิบ รัฐมนตรีต่างประเทศเลบานอน (Getty Images)

ความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดวิกฤตในทุกด้านในเลบานอน

นอกจากความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลางแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันยังสร้างภัยคุกคามที่จะทำให้เลบานอนตกเข้าสู่วิกฤตในทุกด้าน จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม ได้มีประชาชนเลบานอนประมาณ 1,000 คนเสียชีวิตจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายนเป็นวันที่นองเลือดที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษในเลบานอน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 492 คนและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกว่า 1,600 คนจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล  ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว เมื่อความเป็นศัตรูระหว่างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์กับอิสราเอลเพิ่มขึ้นหลังจากเกิดการปะทะในฉนวนกาซา ประชาชนเลบานอนกว่า 1,600 คนได้เสียชีวิตเนื่องจากการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย  รวมถึงเด็กเลบานอนกว่า 1,000 คน นอกจากนี้ นาย นัสเซอร์ ยัสซิน รัฐมนตรีกระทรวงการรับมือภาวะวิกฤติของเลบานอนได้เผยว่า ประชาชนเลบานอนกว่า 1 ล้านคนต้องละทิ้งบ้านเรือนไปอพยพนับตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเพิ่มการโจมตีใส่ดินแดนของเลบานอนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

การเคลื่อนไหวนี้กำลังทำให้เลบานอนตกเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น ในสภาวการณ์ที่ประเทศนี้ต้องรับมือวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุระเบิดในท่าเรือเบรุตเมื่อปี 2021 ในการกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นาย อับดุลเลาะห์ บูฮาบิบ รัฐมนตรีต่างประเทศเลบานอนได้เผยว่า สถานการณ์ในเลบานอนกำลังย่ำแย่ลงทุกวัน

“ขณะนี้ เลบานอนกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของประเทศ อนาคตของประชาชนเลบานอนและความเจริญรุ่งเรืองของเลบานอนกำลังตกอยู่ในอันตราย สถานการณ์ในปัจจุบันต้องถูกแทรกแซงอย่างเร่งด่วนจากประชาคมระหว่างประเทศ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่สามารถควบคุมได้ โดยผลกระทบแบบโดมิโนจะทำให้วิกฤตินี้ไม่สามารถควบคุมได้”

ในรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในเลบานอนที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือ UNHCR และสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ OCHA ได้ระบุว่า สถานพยาบาลและมนุษยธรรมหลายแห่งในเลบานอนเริ่มประสบปัญหาความแออัดเนื่องจากสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ในช่วงนี้ ภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอนตามมติที่ 1701 ปี 2006 ก็เกือบจะตกเข้าสู่ภาวะหยุดชะงักเช่นกัน นาย Jean-Pierre Lacroix รองเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติที่รับผิดชอบภารกิจรักษาสันติภาพเผยว่า แม้แต่กองกำลังชั่วคราวของสหประชาชาติในเลบานอนหรือ UNIFIL ก็กำลังเผชิญภัยคุกคามจากการปะทะในภาคใต้เลบานอน ทำให้ภารกิจของ UNIFIL ในการปกป้องพลเรือนนั้นลำบากมากขึ้น.

คำติชม