นาย อู วิน มินต์ ประธานาธิบดีเมียนมาร์และนาย เหงวียนซวนฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม (Photo: chinhphu.vn) |
เวียดนามและเมียนมาร์ได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้านเมื่อปี 2017และทั้งสองประเทศกำลังจัดทำโครงการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการปฏิบัติความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้านในช่วงปี 2019-2024 ในกรอบการเยือนครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะลงนามโครงการปฏิบัติงานดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญสำหรับการกำหนดแนวทางการพัฒนาของความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้านระหว่างสองประเทศในระยะยาวและนับวันมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น
ความร่วมมือในทุกด้าน
นับตั้งแต่ยกระดับเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนับวันยิ่งได้รับการพัฒนาในทุกด้าน ควบคู่กับความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ได้รับการขยายในทุกระดับ ความไว้วางใจระหว่างพรรครัฐบาลและรัฐบาลทั้งสองประเทศนับวันยิ่งได้รับการผลักดัน
ความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้านระหว่างสองประเทศได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ ปฏิบัติข้อตกลงต่างๆที่ได้ลงนามและแสวงหาโอกาสความร่วมมือระหว่างสองฝ่าย สอดคล้องกับกฎบัตรของสหประชาชาติและกฎบัตรอาเซียน สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมาตรฐานของกฎหมายสากล ให้ความเคารพกฎหมาย เอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของแต่ละฝ่าย
นอกจากลไกความร่วมมือที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมการความร่วมมือผสม อนุกรรมการความร่วมมือด้านการค้า การทาบทามทางการเมืองและความมั่นคง เป็นต้น การจัดตั้งกลไกความร่วมมือใหม่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมไม่น้อยต่อการผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งการจัดตั้งสมาคมมิตรภาพเมียนมาร์-เวียดนามและสโมสรณ์สถานประกอบการเวียดนามในประเทศเมียนมาร์ได้มีส่วนช่วยส่งเสริมความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคี การเข้าร่วมโครงการร่วมทุนด้านโทรคมนาคม Mytel ของกองทัพทั้งสองประเทศและเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เป็นต้น ได้มีส่วนช่วยเพิ่มความหลากหลายให้แก่ความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสองประเทศ
หุ้นส่วนที่ใกล้ชิด
ในกรอบความสัมพันธ์ใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้มีก้าวพัฒนา โดยความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนได้รับการผลักดันและบรรลุผลงานที่น่ายินดี โดยมูลค่าการค้าต่างตอบแทนระหว่างสองประเทศจนถึงเดือนตุลาคมปี 2019 อยู่ที่ 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เวียดนามมีโครงการลงทุน 25 โครงการในเมียนมาร์ รวมยอดเงินลงทุนกว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่อันดับ 7 ในจำนวน 50 ประเทศและดินแดนที่ลงทุนในเมียนมาร์มากที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนสถานประกอบการเวียดนามที่ลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศเมียนมาร์ได้เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากจำนวนสถานประกอบการ 100 แห่งในปี 2016และจนถึงขณะนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 200 แห่ง
ในกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงและกลาโหม กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติเนื้อหาความร่วมมือใหม่ เช่น การพบปะสังสรรค์ของเจ้าหน้าที่ทหารรุ่นใหม่ การฝึกสอนภาษาเวียดนามและภาษาเมียนมาร์ เสนารักษ์ อุตสาหกรรมกลาโหม การผลักดันการบริหารเขตชายแดน การต่อต้านการอพยพอย่างผิดกฎหมายและการค้าของเถื่อน เป็นต้น
นอกจากนี้ ความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น การเกษตร อุตสาหกรรมเบา สาธารณสุข การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้นก็ได้รับการผลักดันอย่างเข้มแข็ง
อนาคตที่ยั่งยืน
เวียดนามและเมียนมาร์เป็นเพื่อนมิตรกันอย่างยาวนานเป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือในอาเซียนและในกรอบฟอรั่มระดับภูมิภาคและโลก ในกรอบการพบปะระดับสูง ฝ่ายเมียนมาร์ได้แสดงความประสงค์ที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงใหม่และการปฏิรูปประเทศของเวียดนาม ซึ่งเป็นความได้เปรียบเพื่อให้เวียดนามพัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือในทุกด้านกับเมียนมาร์ต่อไป ดังนั้น ในกรอบการเยือนเมียนมาร์ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เหงวียนซวนฟุก จะเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีทั้งในฟอรั่มระหว่างประเทศ ฟอรั่มพหุภาคี ในปัญหาระดับภูมิภาคและโลก ซึ่งการกระชับความร่วมมือนี้จะช่วยให้เวียดนามปฏิบัติหน้าที่ประธานอาเซียนในปี 2020 และสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวาระปี 2020 –2021 เป็นอย่างดี
การเยือนครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรี เหงวียนซวนฟุกยังเป็นการส่งสาส์นที่เข้มแข็งว่า เวียดนามยังคงเป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือของรัฐบาลและประชาชนเมียนมาร์ เวียดนามจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหารเศรษฐกิจเชิงตลาด การพัฒนาเศรษฐกิจทุกภาคส่วนกับเมียนมาร์ พร้อมทั้ง เรียนรู้ประสบการณ์ของเมียนมาร์ในการบริหารเศรษฐกิจภาคเอกชน การบริหารแหล่งเงินลงทุนจากต่างประเทศ การบริหารงานด้านภาษีและการอนุรักษ์เอกลักษณ์วัฒนธรรมพื้นเมือง ซึ่งการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างกันไม่เพียงแต่ช่วยให้ทั้งสองประเทศร่วมกันพัฒนาเท่านั้นหากยังส่งเสริมความไว้วางใจและกระชับความสัมพันธ์หุ้นส่วนระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้นอีกด้วย.