รำพื้นบ้านของชนเผ่า KhơMú

Chia sẻ

สิ่งแรกที่สร้างความประทับใจให้แก่พวกเราเมื่อได้ชมและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับท่ารำพื้นบ้านของชนเผ่า KhơMú ก็คือความงามของท่ารำที่อ่อนช้อยและเสียงฆ้องที่กังวาลไม่ขาดสายที่ช่วยสร้างเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง

ทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฆ้องเล็กกังวาลขึ้นไม่ว่าใครก็จะรู้สึกระทึกใจมากจนต้องร้องเพลงตามและมือเท้าขยับเขยื้อนรำไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศอ้างว้างของเขตป่าเขาถิ่นพายัพ เสียงฆ้องเล็กของชาว KhơMú ได้ทำให้หมู่บ้านของชนเผ่าต่างๆในเขตนี้มีชีวิตชีวาและสนุกสนานของวันงานเทศกาล เครื่องดนตรีเล่นประกอบการรำมีเพียง 2 อย่างคือ ฆ้องเล็กสองอันและปล้องไผ่แก่ใหญ่กว่าน่องคน 1 ปล้อง แต่เมื่อเสียงเครื่องดนตรีเหล่านี้กังวาลขึ้นแล้วจะทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาทันที นาง PhạmMinhChâu รองหัวหน้าหน่วยงานวัฒนธรรมอำเภอ ĐiệnBiên เผยว่า

ลักษณะพิเศษของรำพื้นบ้านของชนเผ่า KhơMú คือเป็นท่ารำที่ดัดแปลงมาจากท่าทางการใช้แรงงาน ดังนั้นจึงเป็นท่ารำที่คึกคักเข้มแข็งโดยการส่ายตัวและโยกย้ายไปมา”


รำพื้นบ้านของชนเผ่า KhơMú - ảnh 1

ชชเผ่า KhơMú รำฟ้อนในเทศกาลเก็ยเกี่ยว

นอกจากรำพื้นบ้านที่เป็นมาตรฐานแล้ว ชาว KhơMú ในเหมื่องฟังยังมีท่ารำอีกหลายแบบ เช่น จับมือกันล้อมเป็นวงกลมและรำจับข้อศอก เป็นต้น โดยเฉพาะรำViêngVerGuông ซึ่งเป็นท่ารำค่อนข้างยากเพราะต้องยักย้ายส่ายไปส่ายมาทั้งตัว ในรำ ViêngVerGuông ยังมีชื่อที่แตกต่างกันอีกหลายอย่าง เช่น รำฉลองวสันต์ รำ ViêngVerGuông TăngBu รำ XòeVòng เป็นต้น นาง PhạmMinhChâu กล่าวเสริมว่า

รำ ViêngVerGuông ใน ĐiệnBiên จะเป็นการรำฉลองฤดูเก็บเกี่ยวหรือในเทศกาลงานพื้นบ้านซึ่งท่ารำส่วนใหญ่จะเป็นการสะท้อนให้เห็น วิถีชีวิตและการทำงานประจำวันของชนเผ่า KhơMú ซึ่งจากการร่ายรำจะทำให้เราเห็นว่า เป็นการมุงหลังคาบ้านบ้าง ทำนาในท้องทุ่งบ้าง

การรำ ViêngVerGuông เป็นการรำคู่ชายหญิงหลายคู่ด้วยท่ารำอ่อนช้อยรื่นเริง ปลุกเร้าใจคนชมให้มีความสนุขสดชื่น การรำจะเป็นไปอย่างธรรมชาติ บางทีคู่รำจะเชิญผู้ชมเข้ารำด้วย คุณ LườngThịNên ภูมิใจในศิลปะการรำของชนเผ่าตนมาก เธอกล่าวว่า

รำ ViêngVerGuông ของชนเผ่า KhơMú มีมานานมากซึ่งเป็นท่ารำสะท้อนถึงความเห็นอกเห็นใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ รวมทั้งมีความผูกพันธ์กับความรักของคู่หนุ่มสาวและความเคารพนับถือสิ่งศักสิทธิ์

โดยที่รำ ViêngVerGuông เป็นท่ารำที่ค่อนข้างยาก ฉนั้นการอนุรัก์สืบทอดจึงประสบความลำบากมาก เพราะคนที่รำเก่งก็แกล่งและเหลือน้อย ส่วนรุ่นหนุ่มสาวที่ชอบรำก็ไม่มาก แต่ก็ยังโชคดีที่ในอำเภอ ĐiệnBiên ปัจจุบันยังมีบ้าน Kéo บ้าน Công และบ้าน Ten ที่มีชาว KhơMú อาศัยอยู่มากได้รวมกันจัดเป็นคณะนาฏศิลป์ของชนเผ่าและได้ไปแสดงให้ชาวบ้านอื่นๆในตำบลของตนและในอำเภอชมหวังว่า การนี้จะช่วยให้ชนรุ่นเยาว์ของชนเผ่า KhơMú จะชื่นชอบและพยายามอนุรักษ์สืบทอดต่อไปเพื่อให้รำพื้นบ้านของชนเผ่าตนคงอยู่ตลอดกาล./.

คำติชม