Photo Nguyễn Tuấn Anh |
ขึ้นเรือเร็วจากท่าเรือท่องเที่ยว ก๊ายแบ่ว ในใจกลางอำเภอเมืองก๊าตบ่า ผ่านคลื่นสูงกว่า2เมตรในอ่าวลานหะ ประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็ถึงหมู่เกาะลองเจา ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอประภาคารที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเวียดนาม เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะลองเจานี้มีพื้นที่ประมาณ 1ตารางกม. ที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นหินหูแมวที่แหลมคมกลางทะเล โดยจากสะพานท่าเทียบเรือไปที่หอประภาคารที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงนั้นจะต้องใช้เวลาเดินตามเส้นทางบนหน้าผาที่คดเคี้ยวประมาณ 20 นาที นายเหงวียนแหมงหุ่ง หัวหน้าทีมงานดูแลหอประภาคารลองเจาเผยว่า หอประภาคารสูงประมาณ 110 เมตร "หอประภาคารนี้สร้างโดยชาวฝรั่งเศสและใช้งานในปี 1894 ทำหน้าที่หลักคือส่งสัญญาณไฟจราจรสำหรับเรือที่แล่นผ่านอ่าวทะเลตะวันออก โดยชาวฝรั่งเศสได้ใช้งานจนถึงปี 1955 เมื่อฝ่ายเวียดนามเข้ามารับหน้าที่ดูแลสถานีสัญญาณไฟแห่งนี้ เวลาผ่านไป 129 ปี ประภาคารลองเจายังคงทำงานเป็นปกติ ด้วยโครงสร้างไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านช่วงสงครามทำลายล้างที่ดุเดือดของกองทัพอเมริกา แต่ตัวประภาคารก็ยังคงมีความสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่ต้องทำอะไรใหม่ "
|
ตรงกลางห้องติดโคมไฟที่อยู่บนยอดประภาคารก็มีแผ่นรีเฟล็กเตอร์แบบแบนซึ่งมีขนาดใหญ่โดยมีหลอดไฟเล็กๆจำนวนมาก นาย เหงวียนแหมงหุ่งกล่าวว่าตลอด 129 ปีที่ผ่านมา แสดงไฟจากหอประภาคารนี้ไม่ดับ ช่วงที่ท้องฟ้าแจ่มใสและไม่มีเมฆมาก เรือที่อยู่ห่างจากหอประภาคารนี้ถึง 50 กม. ก็ยังคงมองเห็นแสงไฟจากประภาคาร
เมื่อยืนอยู่บนยอดหอประภาคารแล้วมองลงไปที่ทะเลยามพลบค่ำ หมู่เกาะ ลองเจา เป็นเหมือนกลุ่มหินกรวดที่สวยงามกระจายอยู่ในกระถางขนาดยักษ์ โดยมีเกาะลองเจาและประภาคารเป็นจุดเด่น เมื่อตะวันลับขอบฟ้าก็เป็นเวลาที่แสงไฟเริ่มส่องสว่างทั้งพื้นที่ภูเขาและทะเล อันเป็นการสืบสานเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจในการทำหน้าที่ส่องทางให้เรือนับล้านลำเข้าออกเขตอ่าวทะเลตะวันออกในตลอด 129 ปีที่ผ่านมา แม้จะผ่านพายุคลื่นลมแรงขนาดไหน แต่หอประภาคารแห่งนี้ก็ยังยืนตระหง่านท้าทายกาลเวลา เผชิญพายุ เผชิญการโจมตีมากกว่า 300 ครั้งของกองทัพอากาศสหรัฐที่ตั้งใจทิ้งระเบิดหลายร้อยตันเพื่อทำลายประภาคารลองเจา มาจนถึงทุกวันนี้ หอประภาคารก็ยังคงบันทึกเรื่องราวแห่งหน้าที่ที่น่าภาคภูมิใจต่อไปด้วยการส่องแสงสว่างเหมือนดวงตายักษ์กลางทะเลอันศักดิ์สิทธิ์ของเวียดนาม.