(VOVworld) –  ปัจจุบัน เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ๒ของโลกและอยู่อันดับ๑ด้านการส่งออกกาแฟโรบุสตาแต่เวียดนามส่งออกเมล็ดกาแฟดิบเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นมูลค่าการส่งออกไม่สูงและเครื่องหมายการค้าไม่เป็นที่รู้จักในโลกซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลและหน่วยงานกาแฟกำลังให้ความสนใจเพื่อสร้างเครื่องหมายการค้าและเพิ่มมูลค่าของกาแฟที่ส่งออก

เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ๒ของโลก

  ปัจจุบัน เวียดนามมีพื้นที่ปลูกกาแฟกว่า๖แสน๔หมื่นเฮกตาร์ซึ่งส่วนใหญ่ในเขตที่ราบสูงไตเงวียนและส่งออกกาแฟไปยังกว่า๖๐ประเทศและดินแดน เมื่อปี๒๐๑๔ มูลค่าการส่งออกกาแฟของเวียดนามอยู่ที่๓.๔พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี ในกระบวนการผลิตและส่งออกกาแฟยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ขอบเขตการพัฒนายังไม่มีเสถียรภาพเพราะยังมีพื้นที่นอกแผนพัฒนา การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การรักษาคุณภาพและการตรวจสอบกระบวนการปลูกและแปรูปกาแฟยังไม่มีความเข้มงวด ปัจจุบัน สถานประกอบการที่ใช้เงินลงทุนจากต่างชาติหรือเอฟดีไอรับซื้อกาแฟเวียดนามคิดเป็นร้อยละ๖๐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานประกอบการเอฟดีไอกำลังมีความได้เปรียบในการรับซื้อกาแฟของเวียดนาม ดังนั้น เพื่อพัฒนากาแฟอย่างยั่งยืนในเชิงรุกต้องมีนโยบายช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกเพื่อให้สถานประกอบการภายในประเทศพัฒนาอย่างเข้มแข็งจนสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้อย่างมั่นคง ดังนั้น นอกจากการเพิ่มความเคร่งครัดในด้านการบริหารคุณภาพ เวียดนามกำลังผลักดันการลงทุนเทคโนโลยีแปรรูป โดยเฉพาะ การสร้างและพัฒนาเครื่องหมายการค้า นายเหงวียนแทงเตวี๋ยน เจ้าหน้าที่วิจัยเพื่อการพัฒนากาแฟที่ยั่งยืนในจังหวัดดั๊กลั๊กกล่าวว่า“เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งออกกาแฟโรบุสตารายใหญ่อยู่อันดับ๑ของโลกแต่มูลค่าการส่งออกไม่สูงเพราะว่า เวียดนามผลิตมากแต่ยังไม่ให้ความสำคัญต่อการออกใบรับรองแหล่งผลิตรวมทั้งสถานที่ปลูกและแปรรูป ผู้บริโภคในโลกยังไม่รู้จักเครื่องหมายการค้าของกาแฟของเวียดนามมากนักหรือทราบว่า เวียดนามมีการผลิตกาแฟหรือไม่ ดังนั้นต้องขยายการประชาสัมพันธ์เครื่องหมายการค้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและเพิ่มมูลค่าการส่งออก”

ปัญหาใหญ่ที่หน่วยงานกาแฟเวียดนามกำลังให้ความสนใจในปัจจุบันคือ ฟื้นสภาพพื้นที่ปลูกกาแฟ๑แสน๕หมื่นเฮกตาร์ที่เสื่อมโทรมเพื่อป้องกันปริมาณการผลิตกาแฟที่อาจจะลดลงในเวลาข้างหน้า  นอกจากนี้ รัฐกำลังผลักดันนโยบายช่วยเกษตรกรปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการผลิต ผลักดันการช่วยเหลือสถานประกอบการในการแปรรูปส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าเวียดนาม เพื่อสร้างเครื่องหมายกาแฟ ผู้ผลิตกาแฟต้องตอบสนองความต้องการทางเทคนิคและสิ่งแวดล้อม มีหนังสือรับรองแหล่งผลิตและอนามัยความปลอดภัยด้านอาหาร ในหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้โดยพยายามปรับปรุงหนังสือรับรองให้มีความสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การปลูก การแปรรูป การจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟตามมาตรฐานสากล เช่น ยูแซตที สี่ซี และเรนฟอเรสต์

ในเวลาที่ผ่านมา ในแนวโน้มผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจโลก สถานประกอบ การต่างชาติจำนวนหนึ่งได้ลงทุนพัฒนาระบบร้านค้ากาแฟขนาดใหญ่ในเวียดนาม เช่น ไฮแลนด์คอฟฟี  กลอเรีย จีน กาแฟ คอฟฟีบีนแอนด์ที และเมื่อเร็วๆนี้ เครื่องหมายการค้ากาแฟที่มีชื่อเสียง เช่น ลีฟ สตาร์บัคของสหรัฐก็ได้เข้าตลาดเวียดนามซึ่งได้ก่อแรงผลักดันในการแข่งขันต่อสถานประกอบการแปรรูปกาแฟภายในประเทศ ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานกาแฟพัฒนาอย่างยั่งยืน หนึ่งในเป้าหมายุทธศาสตร์ประการแรกคือสร้างและรักษาตลาดภายในเพื่อเป็นพื้นฐานให้แก่การเจาะตลาดโลกและมุ่งสู่การสร้างเครื่องหมายการค้ากาแฟแห่งชาติเวียดนาม นายดั่งเลเงวียนหวู ประธานและผู้อำนวยการบริษัทกาแฟจูงเงวียนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องหมายการค้ากาแฟจูงเงวียนกล่าวว่า“การสร้างเครื่องหมายการค้าแห่งชาติไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ของสถานประกอบการเท่านั้นหากเป็นของทั้งประเทศ โดยเฉพาะ วิสัยทัศน์ของผู้นำ นักวิจัยและนักวางนโยบาย นักธุรกิจและชุมชน  เพื่อสร้างเครื่องหมายการค้าแห่งชาติต้องให้ความสนใจต่อการประเมินของโลกต่อคุณค่ากาแฟเวียดนาม  ส่งเสริมคุณค่านั้นเพื่อให้ผู้บริโภคนึกถึงเมื่อคิดถึงประเทศเวียดนาม จากนั้น สร้างภาพลักษณ์ของกาแฟเวียดนามให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก”

เพื่อความสำเร็จในการสร้างเครื่องหมายการค้ากาแฟ เวียดนามต้องมีมาตรการในระยะยาว มีเสถียรภาพและเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะหน้า บรรดาสถานประกอบการต้องทำให้ดีกว่าคู่แข่งในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและวางนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ รัฐบาลเวียดนามได้มีมติ๒๑๐เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในด้านการเกษตร โดยเฉพาะ การแปรูปกาแฟซึ่งตามนั้น รัฐบาลจะอำนวยความสะดวกเพื่อให้สถานประกอบการแปรูปเพิ่มมูลค่าของกาแฟ ยกระดับเครื่องหมายการค้ากาแฟเวียดนามให้สูงขึ้นตลอดจนจะมีนโยบายผลักดันการผลิตอย่างยั่งยืนต่อไป./.