( VOVworld )-การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศนัดพิเศษระหว่างอาเซียนกับจีนจะมีขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนในระหว่างวันที่ ๒๘ถึง ๓๐ สิงหาคมนี้ในโอกาสรำลึกการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสองฝ่ายครบรอบ ๑๐ ปี การประชุมดังกล่าวเป็นกลไกการสนทนาพิเศษกลไกหนึ่งระหว่างองค์การอาเซียนกับจีนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายให้ก้าวไกลมากขึ้นในขณะที่สถานการณ์ของภูมิภาคและโลกมีการผันผวน
|
นายฝ่ามกวางวิงห์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามเ
กี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีน ( VOV )
|
บรรดานักวิจัยและนักวิเคราะห์สถานการณ์ในภูมิภาคและโลกได้ประเมินสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การอาเซียนกับจีนใน ๒๒ปีที่สถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนโดยเฉพาะความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ครบรอบ ๑๐ ปี โดยยืนยันว่า นี่เป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและคล่องตัวที่สุด โดยสองฝ่ายได้ไว้วางใจกันและมีความสัมพันธ์มิตรภาพมากขึ้น จีนเป็นประเทศคู่เจรจารายแรกที่พัฒนาความสัมพันธ์กับอาเซียนให้เป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์และก็เป็นประเทศแรกที่เข้าร่วมสนธิสัญญามิตรภาพและร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนการสถาปนาเขตการค้าเสรีกับอาเซียน
จากข้อมูลสถิติปรากฎว่า ปีค.ศ. ๒๐๐๒ มูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับจีนเป็น ๕ หมื่น ๔ พัน ๗ ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ โดยอาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่รายที่ ๕ ของจีน ส่วนจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่รายที่ ๓ ของอาเซียนเท่านั้น มาปี ๒๐๑๓ นี้ มูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายเป็นกว่า ๔ แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น ๗.๓ เท่าเมื่อเทียบกับปี ๒๐๐๒ และจีนได้กลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียน จำนวนประชาชนสองประเทศไปมาเยี่ยมเยือนกันเพิ่มจาก ๔ ล้านคนเป็น ๑๕ ล้านคนต่อปี ซึ่งผลสำเร็จดังกล่าวมาจากความตั้งใจอันแน่วแน่และการสนับสนุนของผู้นำทั้งสองฝ่าย นายฝ่ามกวางวิงห์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเห็นว่า “ ปัจจุบัน อาเซียนและจีนได้ปฏิบัติตาม ๔๐ กลไกการสนทนาต่างๆในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคม โดยสองฝ่ายได้มีการประชุมระดับผู้นำและระดับรัฐมนตรีเป็นประจำทุกปีเพื่อสรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายและปฏิบัติตามการชี้นำของผู้นำระดับสูง อาเซียนและจีนยังมีกลไกการสนทนาเฉพาะเพื่อปฏิบัติแถลงการณ์ว่าด้วยการปฏิบัติของทุกฝ่ายในทะเลตะวันออกหรือดีโอซี รวมถึงกลไกการสนทนาอื่นๆเพื่อปฏิบัติโครงการปฏิบัติในด้านอื่นๆด้วย ”
อาเซียนและจีนต่างอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่มีการพัฒนาอย่างคล่องตัว โดยภายหลังได้รับการก่อตั้งมา ๔๖ ปี อาเซียนได้กลายเป็นองค์การที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ในขณะที่จีนที่มีประชากรกว่า ๑ พัน ๓ ร้อยล้านคนและมีเศรษฐกิจพัฒนาเป็นอันดับ ๒ ของโลกก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วต่อไป ดังนั้นความสัมพันธ์หุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับจีนจึงมีความสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับแต่ละประเทศเท่านั้น หากยังส่งผลต่อสันติภาพ ความมั่นคงและการพัฒนาในภูมิภาคนี้ ด้วยเหตุนี้ อาเซียนและจีนกำลังพยายามผลักดันการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างสองฝ่ายเพื่อเชื่อมโยงกับทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้กลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจอันกว้างใหญ่ของภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย โดยเฉพาะการยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องของประเทศใหญ่ๆจึงเป็นความเรียกร้องต้องการที่อาเซียนและจีนต้องร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นายฝ่ามกวางวิงห์มีความคิดเห็นต่อไปว่า “ ในความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีนต้องยึดหลักการให้ความเคารพเอกราช อธิปไตย ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและแก้ไขความขัดแย้งทุกประการตามกฎหมายสากลเป็นหลัก อีกทั้งต้องปกป้องเป้าหมายสร้างสรรค์ประชาคมอาเซียน ความได้เปรียบของอาเซียนคือความสามัคคีและบทบาทเป็นศูนย์กลางดังนั้น ในความสัมพันธ์กับบรรดาประเทศใหญ่ต้องดำเนินตามทิศทางนี้ ”
ทั้งนี้และทั้งนั้นทำให้สองฝ่ายตระหนักถึงการรักษาบรรยากาศแห่งสันติภาพและความมีเสถียรภาพ โดยในโอกาสเข้าร่วมการการประชุมรำลึกการสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับจีนครบรอบ ๑๐ ปี ณ ประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ นายหวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้กล่าวปราศรัยโดยยืนยันว่า รัฐบาลชุดใหม่ของจีนให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์เพื่อนบ้านมิตรภาพกับอาเซียนและสนับสนุนให้อาเซียนมีบทบาทเป็นศูนย์กลางในองค์ประกอบของภูมิภาค อีกทั้งรับปากว่าจะสนับสนุนอาเซียนในการมุ่งสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป รวมถึงแสดงความประสงค์และพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการแก้ไขปัญหาการพิพาทในทะเลตะวันออกอย่างสันติ ตลอดจนให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามแถลงการณ์ว่าด้วยการปฏิบัติของทุกฝ่ายในทะเลตะวันออกหรือดีโอซี เพื่อมุ่งสู่การร่างระเบียบการปฏิบัติต่อกันในทะเลตะวันออกหรือซีโอซีเพื่อให้ทะเลตะวันออกเป็นเขตที่สันติภาพและความร่วมมือ
อาเซียนและจีนจะปฏิบัติมาตรการสร้างสรรค์ความเชื่อมั่นและเข้าใจกันต่อไป ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อสร้างสรรค์ความสัมพันธ์และร่วมมืออันดีงามอย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งเป็นสาระหลักในการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศนัดพิเศษ ณ กรุงปักกิ่งในเร็วๆนี้ คณะผู้แทนเวียดนามโดยนายฝ่ามบิ่งมินห์รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวและจะมีข้อเสนอต่างๆเพื่อธำรงและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับจีน เช่นเดียวกับระหว่างอาเซียนกับจีน ./.