ปัจจุบันนี้ ในภูมิภาคอาเซียน นอกเหนือจากสิงคโปร์ มีเวียดนามเป็นชาติที่2ที่บรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับอียูและตามความเห็นของนายMichael Sieburg หุ้นส่วนของYCP Solidiance –กลุ่มที่ปรึกษายุทธศาสตร์แห่งเอเชียของYCP Groupนั้น อีวีเอฟทีเอจะสร้างพลับขับเคลื่อนที่เข้มแข็งเพื่อดึงดูดผู้ผลิตต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในเวียดนามและสามารถแสวงหาโอกาสเข้าถึงตลาดอียูได้สะดวกขึ้น
ขณะเดียวกัน สหพันธ์ผู้ประกอบการยุโรปประจำเวียดนาม(EuroCham) ได้ออกประกาศฉบับวันที่8มิถุนายนโดยชื่นชมข้อตกลงการค้าเสรีอีวีเอฟทีเอว่า "ข้อตกลงนี้มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในสภาวการณ์ที่สงครามการค้าและวิกฤตโรคโควิด-19ได้ส่งผลกระทบให้กิจกรรมการค้าถูกยกเลิกในขอบเขตกว้างขวางอย่างไม่เคยมีมาก่อน" ส่วนหัวหน้าคณะผู้แทนอียูประจำเวียดนาม Bruno Angelet ได้ให้ข้อสังเกตุว่า "ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอสร้างนิมิตหมายใหม่ในความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและความร่วมมือที่เกิดประสิทธิผลให้แก่ทั้งสองฝ่ายอียูและเวียดนามในกว่า3ทศวรรษที่ผ่านมา
ส่วนหนังสือพิมพ์Express.co.uk ได้เสนอรายละเอียดที่น่าสนใจของข้อตกลงนี้เช่น ผลของอีวีเอฟทีเอต่อทั้งเวียดนามและหุ้นส่วนยุโรป ซึ่งหลังจากอีวีเอฟทีเอมีผลบังคับใช้เวียดนามจะมีระยะเปลี่ยนผ่านประมาณ10ปีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากอียูและในทางกลับกัน ข้อตกลงนี้จะเอื้อให้อียูเข้าถึงการบริการต่างของเวียดนามรวมทั้งหน่วยงานบริการไปรษณีย์ ธนาคาร การขนส่งทางน้ำและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ.