นาย หวอวันเถือง ประธานประเทศเวียดนามและนาย แฟรงก์-วอลเตอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน (Photo: TTXVN) |
ในการเจรจาหลังพิธีต้อนรับ ประธานประเทศหวอวันเถืองได้ย้ำว่า เวียดนามให้ความสนใจเป็นอันดับต้นต่อการพัฒนาความสัมพันธ์กับเยอรมนี พร้อมทั้งเสนอให้เยอรมนีให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรมแหล่งบุคลากรที่มีคุณภาพสูงให้แก่เวียดนาม สนับสนุนเวียดนามในการผลักดันความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปหรืออียู เสร็จสิ้นการปฏิบัติขั้นตอนต่างๆในการให้สัตยาบันข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนเวียดนาม-อียูและส่งเสริมให้คณะกรรมาธิการยุโรปยกเลิกใบเหลือต่อสัตว์น้ำเวียดนาม สำหรับด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะปฏิบัติข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามกับอียู อำนวยความสะดวกให้แก่การนำเข้าสินค้าที่เป็นจุดแข็งของกัน ประธานประเทศ หวอวันเถืองได้ย้ำว่า
“บนเจตนารมณ์แห่งความไว้วางใจและความเข้าใจกัน ทั้งสองฝ่ายได้ประเมินความสัมพันธ์ร่วมมือในหลายด้านระหว่างสองประเทศ เห็นพ้องเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการใหญ่ ผลักดันความสัมพันธ์ทวิภาคีในด้านต่างๆ หารือเกี่ยวกับปัญหาระดับภูมิภาคและโลกที่ให้ความสนใจร่วมกัน ผลักดันการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ ปฏิบัติกลไกความร่วมมือทวิภาคี วิจัยและจัดทำกลไกความร่วมมือใหม่ ขยายความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นของทั้งสองประเทศและการพบปะสังสรรค์ระดับประชาชนเพื่อมุ่งสู่การรำลึกครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเวียดนาม-เยอรมนี ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันปฏิบัติเพื่อความสุกของประชาชนทั้งสองประเทศ เพื่อสันติภาพ เสถียรภาพความร่วมมือและการพัฒนาในภูมิภาคและโลก”
ประธานประเทศ หวอวันเถืองยังเสนอให้เยอรมนีจัดสรรเงินโอดีเอให้แก่เวียดนามในด้านที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ เช่น พลังงาน สิ่งแวดล้อม การฝึกสอนอาชีพ ให้ความสนใจต่อชมรมชาวเวียดนามในเยอรมนีในการปรับตัวเข้ากับสังคม เวียดนามเสนอให้เยอรมนีร่วมกับประเทศสมาชิกกลุ่มจี 7 และหุ้นส่วนต่างชาติแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน พัฒนาแหล่งบุคลากรในการปฏิบัติความตกลงการเป็นพันธมิตรด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมหรือ JETP เพื่อมีส่วนร่วมปฏิบัติคำมั่นต่างๆของเวียดนามในปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์สุทธิเป็นศูนย์จนถึงปี 2050
ส่วนนาย แฟรงก์-วอลเตอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนีได้ยืนยันว่า เยอรมนีจะประสานงานอย่างใกล้ชิดและสนับสนุนเวียดนามในการปฏิบัติเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ
ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะผลักดันความร่วมมือในด้านความมั่นคง กลาโหม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ยุติธรรม การเกษตร สนับสนุนในฟอรั่มในภูมิภาคและโลก สำหรับปัญหาทะเลตะวันออก ผู้นำทั้งสองท่านได้ยืนยันอีกครั้งถึงความสำคัญของการธำรงสันติภาพ เสถียรภาพ เสรีภาพในการเดินเรือและการบินในทะเลตะวันออก แก้ไขปัญหาการพิพาทด้วยสันติ สอดคล้องกับกฎหมายสากล
ภายหลังการเจรจา ผู้นำทั้งสองท่านได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานย้ายถิ่น.