เวียดนามพร้อมรับแหล่งเงินทุน FDI ที่มีคุณภาพสูง

Thu Trang- Thu Hoa
Chia sẻ
(VOVWORLD) - ในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ แม้การลงทุนของภาคเอกชนในประเทศรวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ในเวียดนามกำลังชะลอตัว แต่กิจกรรมการลงทุนของภาครัฐมีจุดเด่นมากมาย ซึ่งถือเป็นสัญญาณในเชิงบวกต่อการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพสูงจากต่างประเทศมากขึ้น
เวียดนามพร้อมรับแหล่งเงินทุน FDI ที่มีคุณภาพสูง - ảnh 1การผลิตที่โรงงานแห่งหนึ่งในเขตนิคมอุตสาหกรรมกวางมิงห์ในกรุงฮานอย (VNA)

 

จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เงินลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามที่ถูกเบิกจ่ายไปแล้วอยู่ที่ประมาณ 2.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 ในด้านการลงทุน เงินจำนวนถูกนำไปลงทุนใน 17 จาก 27 สาขาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจ โดยอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอยู่อันดับ 1 รวมยอดเงินลงทุนกว่า 2.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือกิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีเงินลงทุนเกือบ 397 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในด้านจำนวนโครงการใหม่ อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอยู่อันดับที่หนึ่ง นักลงทุนต่างชาติกำลังลงทุนใน 39 จังหวัดและนคร เช่น จังหวัดบั๊กยาง นครโฮจิมินห์ จังหวัดกว๋างนิงห์และจังหวัดด่งนาย นาง โด๋ถิหงอก อธิบดีกรมสถิติและเผยแพร่ข้อมูลสถิติของกระทรวงวางแผนและการลงทุนได้รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมการลงทุนว่า

“เงินลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 บรรลุเกือบ 1.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ บรรลุเกือบ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่ากับร้อยละ 8.3  ของแผนการปีนี้และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน เงินทุน FDI ที่จดทะเบียนปรับปรุง จนถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ปี 2023 บรรลุ 535.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในช่วงปี 2019-2023 เงินทุน FDI ที่ได้รับการเบิกจ่ายแล้วก็ลดลงร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2022 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของเศรษฐกิจโลก จนทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่ขยายโครงการที่กำลังลงทุนอยู่แล้วในเวียดนาม”

จากสถานการณ์ที่ยากลำบากของเศรษฐกิจโลก นาย เลยวีบิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ Economica เวียดนามได้แสดงความเห็นว่า การเพิ่มการลงทุนภาครัฐเป็นความพยายามที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล สถานประกอบการและสำนักงานบริหาร เป็นการยืนยันถึงวิธีการบริหารแหล่งเงินลงทุนที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวก แต่อย่างไรก็ตาม แรงผลักดันเศรษฐกิจไม่สามารถรอคอยแต่การลงทุนภาครัฐเพียงอย่างเดียว หากต้องส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนด้วย โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศ และเร่งกระบวนการใช้เงินทุน FDI ในเวียดนาม นาย เลยวีบิ่ง อธิบายว่า

“การลงทุนภาครัฐสร้างแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการตัดสินใจลงทุน จำนวนเงินลงทุนใน 2 เดือนแรกของปีนี้เป็นเพียงปรากฎการณ์อย่างหนึ่งเท่านั้นและไม่ได้สะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่แสดงให้เห็นว่า การลงทุนของภาครัฐยังไม่สามารถกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข”

เวียดนามพร้อมรับแหล่งเงินทุน FDI ที่มีคุณภาพสูง - ảnh 2นาย เหงียนหายมิง รองประธานสมาพันธ์สถานประกอบการยุโรปในเวียดนามหรือ Eurocham 

ต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหานี้คือคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในสภาวการณ์แห่งเศรษฐกิจใหม่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแสดงความเห็นว่า นอกจากการปรับปรุงบรรยากาศการลงทุน การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของตลาด ความกระตือรือร้นในการประกอบธุรกิจของชุมชนสถานประกอบการและการจุดประกายจิตใจแห่งการทำธุรกิจสตาร์ทอัพในหมู่ประชาชนแล้ว เวียดนามต้องมีมาตรการรักษาตลาดให้มีเสถียรภาพเพื่อให้นักลงทุนเอกชนที่ลงทุนอยู่แล้วขยายการลงทุนต่อไปและสามารถดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพให้เข้ามาลงทุน แต่ในกระบวนการนี้ มีเงื่อนไขบังคับคือต้องให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกโครงการลงทุนและให้ความสนใจเพื่อสนับสนุนแหล่งเงินทุนนี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับความเห็นนี้ นาย เหงียนหายมิง รองประธานสมาพันธ์สถานประกอบการยุโรปในเวียดนามหรือ Eurocham ได้เสนอว่า

“สำหรับนักลงทุนยุโรป เราระบุว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหนึ่งในรูปแบบของการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุน ดังนั้น เวียดนามจึงต้องให้ความสนใจมากขึ้นทั้งการวางผังและพื้นที่ โดยเฉพาะ ส่งเสริมรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนหรือ PPP โดยกระบวนการลงทุนต้องมีความโปร่งใสเป็นพิเศษ ขณะนี้ ยังไม่มีนักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมรูปแบบนี้ เนื่องจากนโยบายดึงดูดการลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนยังไม่เหมาะสมและไม่ได้รับสิทธิพิเศษอย่างแท้จริง ในขณะที่สำหรับนักลงทุนยุโรป การลงทุนด้านถนน โลจิสติกส์ ระบบพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นจุดแข็งของพวกเขา และพวกเขาสามารถสนับสนุนเวียดนามได้อย่างเต็มที่”

ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการจากหอการค้าและอุตสาหกรรมเยอรมนีในเวียดนาม “สถานประกอบการเยอรมนีกว่าร้อยละ 93 ยังคงมีความประสงค์ที่จะลงทุนในเวียดนาม สถานประกอบการหลายแห่งมีแผนการที่จะย้ายฐานการผลิตและประกอบธุรกิจจากจีนมาเวียดนาม” ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้การดึงดูดการลงทุนจะชะลอตัวใน 2 เดือนแรกของปีนี้ แต่ในระยะยาว ศักยภาพเพื่อดึงดูดแหล่งเงินทุนนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากปัจจัยขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น เสถียรภาพทางการเมืองและสังคม นโยบายมหภาคที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์อย่างต่อเนื่องและวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว นาง ด่าวทูจาง หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาตลาดสังกัดหอการค้าและอุตสาหกรรมเยอรมนีในเวียดนามแสดงความเห็นว่า

“สถานประกอบการเยอรมนีมองโลกในแง่ดีขึ้นและพัฒนามากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นโยบายที่เคร่งครัดและทันท่วงทีของรัฐบาลได้สร้างพลังขับเคลื่อนให้แก่การฟื้นฟูของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาด อีกทั้งสะท้อนอย่างเด่นชัดถึงการพัฒนาของสถานประกอบการเยอรมนีในเวียดนาม ตลอดจนเศรษฐกิจของเวียดนาม”

เป็นที่ชัดเจนว่า ในกิจกรรมการลงทุนและการดึงดูดเงินลงทุนในปัจจุบันกำลังมีอุปสรรคนอกเหนือจากข้อได้เปรียบและโอกาส ถ้าหากสามารถปรับปรุงข้อบกพร่องเหล่านี้ได้โดยเร็ว การดึงดูดเงินลงทุนจะมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะช่วยให้เวียดนามได้รับแหล่งเงินทุน FDI ที่มีคุณภาพสูงในเวลาที่จะถึง.

คำติชม