ขอให้ท่านเอกอัครราชทูตชี้แจงถึงความหมายของการเยือนเวียดนามครั้งนี้ของท่านนายกรัฐมนตรีไทยต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่ทั้งสองประเทศกำลังมุ่งสู่การฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2026
"เราทั้งสองทราบกันดีคือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามมีความอบอุ่น แน่นแฟ้น ใกล้ชิดกันมาก แล้วก็มีในทุกมิติเลย รวมทั้งในภาคประชาชน การเยือนครั้งนี้มีความหมายมาก ทั้งสองประเทศได้พยายามทำในงานร่วมกันที่จะยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่รอบด้าน นั่นก็หมายความว่า ทั้งสองประเทศก็จะ เสริมสร้างความร่วมมือให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไปอีก โดยมียุทธศาสตร์ร่วมกัน เพื่อมุ่งไปสู่ความเจริญของทั้งของประเทศและของประชาชนของทั้งสองฝ่าย อันนี้เป็นความหมายที่สำคัญที่สุด เป็นจังหวะที่ดีเพราะว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็จะใกล้เฉลิมฉลอง 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งก็เป็นหมุดหมายครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง ขณะนี้ ประเทศทั้งหลายในภูมิภาค รวมประเทศของเราทั้งสองก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งภูมิเศรษฐศาสตร์ที่เราเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งก็จะเป็นโอกาสดีที่ผู้นำของทั้งสองจะได้ปรึกษาหารือกันว่าจะทำยังใงที่จะร่วมมือกันเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคที่เผชิญนี้อยู่ แล้วก็ทำยังใงที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทางเศรษฐกิจและความร่วมมือในภูมิภาคด้วย เพราะเราทั้งสองก็เป็นสมาชิกอาเซียน"
ขอให้ท่านทูตกล่าวถึงเนื้อหาหลักที่คาดว่าจะได้รับการหารือในกรอบการเยือนเวียดนามครั้งนี้มีอะไรบ้าง
" แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีผู้ที่ช่วยกันขับเคลื่อน ไม่เพียงแต่ภาครัฐก็มีภาคเอกชนและประชาชนของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ประเด็นที่หารือค่อนข้างจะมีรอบด้าน ในด้านเศรษฐกิจ ทางผู้นำได้ตั้งเป้าเราจะต้องเพิ่มมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศ ซึ่งทางหน่วยงานของไทยก็ทำเต็มที่ ถึงแม้เราจะมีสิ่งท้าทายจากสภาวการณ์เศรษฐกิจในระดับโลกและในระดับภูมิภาค แต่เราก็สามารถเพิ่มปริมาณการค้าได้อีกร้อยละ 6 จากปีที่ผ่านมา ตอนนี้เราก็มี 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แน่นอนว่า เราก็ต้องคุยกันเรื่องว่าทำอย่างไรที่จะอำนวยความสะดวกให้การค้าของทั้งสองฝ่ายเป็นไปได้อย่างคล่องตัว นอกจากนั้น เราก็สามารถที่จะร่วมมือกันในด้านโลจิตสิกส์ ซึ่งทางไทยกับเวียดนามมีลู่ทางที่จะร่วมมือกันได้อีกมาก ทางบกเราก็จะมีเส้นทางคมนาคมสาย 9 และ12 อยู่ ซึ่งก็ใช้ได้สะดวกนอกจากนี้ เราจะต้องคุยกันถึงในแง่ของความสัมพันธ์ด้านการลงทุน นักลงทุนชาวไทยเข้ามาลงทุนในเวียดนามเป็นเวลานานมาก บางรายก็ 30 ปีแล้วและก็มีหลากหลายธุรกิจ ดิฉันเคยพบปะกับภาคเอกชน ภาคเอกชนก็เชื่อมั่นในศักยภาพของเวียดนามและนโยบายต่างๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน ทุกคนก็บอกว่า เวียดนามก็ยังคงเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ในการมาลงทุนในต่างประเทศของภาคเอกชนไทย นักลงทุนชาวไทยมาลงทุนในเวียดนามเป็นหนึ่งใน 10 นักลงทุนต่างชาติที่นำ FDI มาลงทุนในเวียดนามสูงมาก ประมาณ 14,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ......."
ท่านเอกอัครราชทูตมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าการค้าเวียดนาม - ไทยขึ้นเป็น 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดหวังอย่างไรในผลการเยือนครั้งนี้
"อันนี้เป็นโจดที่ว่าไม่เพียงแต่ของดิฉันเอง ในฐานะเอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนาม และท่านเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทยก็รับการบ้าน ทางสถานทูตก็หารือกับภาคเอกชนและ หน่วยงาน กระทรวงพาณิชย์ แล้วก็ทางบีโอไอต่างๆเพื่อที่ว่า ทำอย่างไรที่เราจะทำได้ตามเป้าแต่การที่บอกค่ะ แม้จะมีเหตุการต่างๆ ไม่ว่าสงครามก็มีอยู่ มีการเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียดระหว่างประเทศใหญ่สองประเทศทางการค้า ซึ่งทำให้เรามีข้อจำกัดอยู่ในการที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในคงจับจ่ายใช้สอยแต่อย่างไรก็ดีที่บอกไปว่า ถึงแม้จะมีอุปสรรคนี้ เรามาได้ ที่เราตั้งไว้ภาษาไทยเรียกว่า 25 พันล้านใช่ไหม เราได้ 2 หมื่นล้าน คือปีที่แล้วเราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 แต่ว่าทุกคนทำงานเต็มที่จะช่วยและรวมทั้งมาตรการที่จะให้ทั้งในด้านการนำเข้า การส่งออก การขจัดอุปสรรค ก็ร่วมมือกันทำงานอย่างดีเราคิดว่าจะพยายามให้ได้....."
ขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตเป็นอย่างสูง.