นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐกับนาย คิมจองอึน ผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (Straits Times/Getty Images ) |
ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์และผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คิมจองอึน ได้เริ่มเจรจากันเมื่อเวลา 09.00 น. ตามเวลาสิงคโปร์ โดยหลังการจับมือกันครั้งประวัติศาสตร์ ผู้นำของทั้งสองประเทศได้เจรจากันเป็นการส่วนตัว ต่อจากนั้นก็ได้เข้าร่วมการประชุมอย่างเป็นทางการก่อนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน นาย โดนัลด์ ทรัมป์และนาย คิมจองอึน ได้หารือกันเกี่ยวกับสันติภาพและการปลอดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีในการพบปะสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์
เส้นทางไปสู่การพบปะสุดยอดที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เมื่อ 1 ปีก่อน ไม่มีใครคาดคิดว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนในวันนี้ ซึ่งถ้าย้อนไปเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2017 หนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้ประกาศว่า ทางการเปียงยางใกล้ประสบความสำเร็จในการผลิตขีปนาวุธข้ามทวีปที่สามารถยิงไกลถึงทวีปอเมริกา หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เมื่อสหรัฐฉลองวันชาติ 4 กรกฎาคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้ประกาศว่า ประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปหรือ ICBM ครั้งแรก และในอีกหลายด้านต่อมา ทางการเปียงยางก็ได้ทดลองยิงขีปนาวุธหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่ทำการทดลองได้ทำให้เปียงยางเข้าใกล้การทำสงครามกับวอชิงตัน ตลอดจนทางการเปียงยางยังทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อเดือนกันยายนปี 2017 ซึ่งถือเป็นการทดลองครั้งใหญ่ที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2018 เป็นต้นมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้เริ่มแสดงให้เห็นถึงเจตนาดี โดยเมื่อเดือนมกราคม ทางการเปียงยางได้เปิดโทรศัพท์สายด่วนระหว่างสองภาคเกาหลีครั้งแรกในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้แก่กิจกรรมทางการทูตที่น่ายินดีต่างๆ ส่วนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ นาง Kim Yo-jong น้องสาวของผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้เดินทางไปยังสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเข้าร่วมงานมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว PyeongChang
ต่อจากนั้นได้มีการจัดการพบปะสุดยอดสองภาคเกาหลีระหว่างนาย คิมจองอึน ผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีกับนาย มุนแจอิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีเมื่อเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม การเคลื่อนไหวที่น่ายินดีที่สุดจากการพบปะนี้คือทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมปันมุนจอมที่กำหนดเป้าหมายปลอดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีและมุ่งสู่การประกาศยุติสงครามระหว่างสองภาคเกาหลีอย่างเป็นทางการ ซึ่งการพบปะสุดยอดระหว่างสองภาคเกาหลีก็เปิดทางให้แก่การพบปะสุดยอดระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในวันที่ 12 มิถุนายน ณ สิงคโปร์ที่ประชามติโลกรอคอย
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความยินดีในการพบปะกับนาย คิมจองอึน (AP) |
ชัยชนะทางการทูตของทุกฝ่าย
การทำให้การพบปะสุดยอดครั้งแรกระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะท่าทีปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลีตั้งแต่ต้นปีนี้ได้สร้างบรรยากาศที่สงบในภูมิภาค จากความพยายามทำลายการถูกโดดเดี่ยว นาย มุนแจอิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นผู้นำที่มีนโยบายที่โอนอ่อนได้แสดงท่าทีที่เป็นมิตรกับทางการเปียงยางและก็มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม ยื่นข้อเสนอจัดการพบปะโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีถึงประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ แม้แต่นาย คิมจองอึนก็ได้ยอมรับกับประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่า เส้นทางไปสู่การพบปะสุดยอดระหว่างกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
มีหลายเหตุผลเพื่อให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีและสหรัฐอยากสนทนาโดยตรงกันครั้งแรก ซึ่งที่น่าสนใจที่สุดคือทั้งสองฝ่ายต่างถือการพบปะสุดยอดสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีคือ “ชัยชนะทางการทูต” ของตน โดยทางการของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยืนยันว่า การทำให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีประนีประนอมในการเจรจา ยุติการทดลองยิงขีปนาวุธและนิวเคลียร์คือผลสำเร็จของการสร้างแรงกดดันอย่างเต็มที่ ส่วนสำหรับผู้นำของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คิมจองอึน การที่สหรัฐยอมรับการสนทนาโดยตรงคือ “ชัยชนะทางการทูต” นอกจากนั้น การที่นาย คิมจองอึน มีโอกาสนั่งข้างๆกับเจ้าของทำเนียบขาวก็ได้แสดงให้เห็นถึงสถานะของทางการเปียงยางบนเวทีโลกนับวันเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งทำให้เปียงยางมีโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังประสบอุปสรรคมากมาย
ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเกี่ยวกับการพบปะสุดยอดว่า อาจเป็นก้าวเดินไปสู่สันติภาพ ในขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun ของพรรคแรงงานเกาหลีได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ทางการเปียงยางจะสถาปนาความสัมพันธ์ใหม่กับวอชิงตัน ซึ่งข้อมูลนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการเข้าถึงของเปียงยางต่อความสัมพันธ์กับวอชิงตัน
ภายหลัง 7 ทศวรรษที่เผชิญหน้า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีไม่สามารถแก้ไขได้ในการพบปะสุดสอดเพียงครั้งเดียวอย่างแน่นอน แต่การพบปะนี้ถือเป็นก้าวเดินที่ยิ่งใหญ่ คือการนำผู้นำของทั้งสองประเทศที่เป็นศัตรูกันมาพบปะสนทนาเพื่อแสวงหาสันติภาพและเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี.