นาง คาโรไลน์ เลวิตต์ เลขานุการฝ่ายสารนิเทศของทำเนียบขาว (REUTERS/Evelyn Hockstein) |
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าขั้นพื้นฐานร้อยละ 10 ต่อประเทศส่วนใหญ่ และขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอัตราร้อยละ 50 ต่อประเทศและดินแดนหลายแห่งตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม เมื่อวันที่ 7 กรกฎษคม ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมออกไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม โดยให้เวลาอีก 3 สัปดาห์ในการเจรจาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าสำหรับแต่ละประเทศ
14 ประเทศถูกเก็บอัตราภาษีตั้งแต่ร้อยละ 25-40
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งจดหมายถึง 14 ประเทศเพื่อแจ้งอัตราภาษี โดยจะเก็บภาษีร้อยละ 25 สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี คาซัคสถาน มาเลเซียและตูนิเซีย ส่วนสินค้าจากแอฟริกาใต้ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาถูกเก็บภาษีร้อยละ 30 อินโดนีเซียถูกเก็บภาษีร้อยละ 32 เซอร์เบียและบังคลาเทศถูกเก็บภาษีร้อยละ 35 ไทยและกัมพูชาถูกเก็บภาษีร้อยละ 36 ลาวและเมียนมาร์ถูกเก็บภาษีร้อยละ 40 ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม นาง คาโรไลน์ เลวิตต์ เลขานุการฝ่ายสารนิเทศของทำเนียบขาวได้ยืนยันว่า
“ภาษีศุลกากรต่างตอบแทนใหม่จะถูกแจ้งให้ผู้นำของประเทศต่างๆทราบผ่านจดหมาย สำหรับประเทศที่บรรลุข้อตกลงจะดำเนินการเจรจากับสหรัฐต่อไป ทางการของประธานาธิบดี ทรัมป์ และทีมการค้าของท่านต้องการข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและแรงงานชาวอเมริกัน”
ในจดหมายทั้ง 14 ฉบับ นาย ทรัมป์ เตือนว่า อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเกินกว่าระดับที่ประกาศไว้ถ้าหากประเทศนั้นตอบโต้สหรัฐ โดยระบุว่า ภาษีนำเข้าใหม่นี้จะแยกจากภาษีนำเข้าสินค้าตามอุตสาหกรรม ซึ่งหมายความว่า ภาษีนำเข้าใหม่จะไม่รวมถึงภาษีนำเข้าที่สหรัฐเรียกเก็บจากอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เหล็ก อลูมิเนียมและรถยนต์ที่นำเข้ามายังสหรัฐ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พูดคุยในระหว่างรับประทานอาหารค่ำกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ณ ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 (REUTERS/Kevin Lamarque) |
การกลับมาของนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”
คำประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการกลับมาของนโยบายการค้า “อเมริกาต้องมาก่อน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดการขาดดุลการค้าและปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ
นับตั้งแต่กลับมาที่ทำเนียบขาว นาย ทรัมป์ ได้เปลี่ยนแปลงกรอบเวลาและอัตราภาษีที่เก็บต่อประเทศต่างๆหลายครั้ง หลังจากที่ให้คำมั่นว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทนต่อหุ้นส่วนการค้าหลายราย แต่ได้ระงับการบังคับใช้กับหลายประเทศเป็นเวลา 90 วันเพื่อเปิดทางให้แก่การเจรจา นาย ทรัมป์ และที่ปรึกษาของเขาได้วางแผนที่ทะเยอทะยานสำหรับการเจรจา โดยยืนยันหลายครั้งว่า พวกเขากำลังเจรจากับหุ้นส่วนการค้าหลายสิบรายเพื่อลดการขาดดุลการค้าและขจัดอุปสรรค
ถึงแม้สหรัฐตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลงกับ 90 ประเทศภายใน 90 วัน แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐได้บรรลุกรอบข้อตกลงกับ 3 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ อังกฤษ จีนและเวียดนาม ถึงแม้ว่านาย ทรัมป์ จะแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการค้ากับสหภาพยุโรปหรืออียูหลายครั้ง แต่อียูยังไม่ได้รับจดหมายจากเขา ในขณะเดียวกัน หลายประเทศก็คาดหวังว่า จะมีการขยายระยะเวลาออกไปเพื่อบรรลุข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งนาย ทรัมป์ ก็ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อเขากล่าวว่า วันที่ 1 สิงหาคมจะเป็นวันที่มีผลบังคับใช้สำหรับภาษีศุลกากรของสหรัฐ แต่ประตูสู่การเจรจายังคงเปิดอยู่
ขณะนี้ กำลังมีการวางแผนการเจรจาเพิ่มเติม การประกาศภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินของสหรัฐเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมโดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงอย่างหนัก บรรดานักวิเคราะห์กังวลว่า การเก็บภาษีต่างตอบแทนโดยมุ่งเป้าไปยังผู้ส่งออกรายใหญ่อาจส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อระบบห่วงโซ่อุปทานโลก.