นาย โจเซ่ รามอส-ฮอร์ตา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต (Reuters) |
การเยือนเวียดนามครั้งนี้ของประธานาธิบดี โจเซ่ รามอส-ฮอร์ตา เป็นการเยือนครั้งที่2 นับตั้งแต่ปี 2010 และมีขึ้นบนพื้นฐานของการธำรงพัฒนาความสัมพันธ์เวียดนาม - ติมอร์-เลสเต อย่างเข้มแข็งนับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมปี 2002
ก้าวพัฒนาในความสัมพันธ์ทวิภาคี
ติมอร์-เลสเตเปิดสถานทูต ณ กรุงฮานอยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายนปี 2012 และมีการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง ที่น่าสนใจคือการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูงและการพบปะในโอกาสเข้าร่วมการประชุมของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน โดยในการพบปะหารือ ผู้นำติมอร์-เลสเตได้แสดงความประทับใจต่อภารกิจการปฏิวัติของประชาชนเวียดนาม ตลอดจนกระบวนการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศ โดยถือเวียดนามเป็นตัวอย่างแห่งการพัฒนา
ปัจจุบัน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศยังไม่ทัดเทียมกับศักยภาพ มูลค่าการค้าต่างตอบแทนเมื่อปี 2023 บรรลุ 15.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ บรรลุกว่า 6.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามกรอบข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ-เทคนิคเมื่อเดือนเมษายนปี 2010 ข้อตกลงการค้าทวิภาคีเมื่อเดือนกันยายนปี 2013 และบันทึกช่วยจำเพื่อความร่วมมือด้านการค้าข้าวเมื่อเดือนธันวาคมปี 2015 ส่วนเมื่อปี 2023 เวียดนามส่งออกข้าว 15,320 ตันไปยังติมอร์-เลสเต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 8.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงเดือนเมษายนปี 2024 เวียดนามส่งออกข้าวไปยังติมอร์-เลสเตจำนวน 3,866 ตัน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการลงทุน ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมแห่งกองทัพเวียดนามหรือ Viettel มีโครงการลงทุนเพื่อให้บริการโทรคมนาคมในติมอร์-เลสเต ภายใต้ชื่อ Telemor และเป็นสถานประกอบการเวียดนามดีเด่นเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการลงทุนและประกอบธุรกิจในติมอร์-เลสเต อีกทั้งเป็นสถานประกอบการที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังลงทุนและประกอบธุรกิจที่นี่ ซึ่งมีส่วนร่วมที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมของติมอร์-เลสเต
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพอีกมากในการร่วมมือด้านการเกษตร น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สัตว์น้ำ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตร สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป สินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์ไฟฟ้า การศึกษา วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ในการประเมินเกี่ยวกับศักยภาพความร่วมมือระหว่างสองประเทศ นาย ตะวันทง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำอินโดนีเซียและติมอร์-เลสเต ได้ยืนยันว่า
“ความสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศที่มีนั้นยังไม่ทัดเทียมกับศักยภาพ แต่อย่างไรก็ตาม เวียดนามได้มีบริษัทขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนและประกอบธุรกิจในติมอร์-เลสเต เช่น กลุ่มบริษัท Viettel ส่วนด้านอื่นที่เราให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆในการร่วมมือในเวลาที่จะถึงคือ การเกษตร ติมอร์-เลสเตยังต้องการผู้เชี่ยวชาญจากเวียดนามเพื่อช่วยเหลือในการเพาะปลูกที่ให้ผลผลิตสูง นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังสามารถกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การนำเข้า-ส่งออก การท่องเที่ยวและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น”
สำหรับความร่วมมือพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันและประสานจุดยืนของตนในฟอรั่มทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ติมอร์-เลสเตยืนยันสนับสนุนเวียดนามในการเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวาระปี 2020-2021
นาย ตะวันทง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำอินโดนีเซียและติมอร์-เลสเต |
ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนาม-ติมอร์-เลสเต
ปัจจุบัน ติมอร์-เลสเตกำลังอยู่ในกระบวนการแห่งการเข้าร่วมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อขยายโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมกับประเทศสมาชิกในประชาคมในระดับภูมิภาค ซึ่งเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน ติมอร์-เลสเตต้องได้รับการสนับสนุนจากประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งเวียดนามซึ่งมีบทบาทสำคัญ เอกอัครราชทูต ตะวันทง ย้ำว่า
“เวียดนามเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียนเมื่อปี 1995 และมีประสบการณ์ในกระบวนการเข้าร่วมและผสมผสานเข้ากับอาเซียน นี่คือสิ่งที่ติมอร์-เลสเตต้องการเป็นอย่างยิ่ง เริ่มต้นจากสัมพันธไมตรีที่มีมาช้านาน เวียดนามสนับสนุนการเข้าร่วมอาเซียนของติมอร์-เลสเตอยู่เสมอ และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือติมอร์-เลสเต โดยเฉพาะในด้านต่างๆ เช่น การยกระดับขีดความสามารถและการฝึกอบรมบุคลากร เนื่องจากนี่เป็นด้านที่จำเป็นในกระบวนการเข้าร่วมอาเซียน”
การเยือนเวียดนามของประธานาธิบดีติมอร์-เลสเตอร์ถือเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ต่อติมอร์-เลสเต เนื่องจากประเทศนี้กำลังอยู่ในกระบวนการเข้าร่วมอาเซียน และเป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเจรจาและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเกษตรและสัตว์น้ำต่อไป ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ลึกซึ้งมากขึ้นในเวลาที่จะถึง.