ศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เป็นทั้งการพิสูจความไว้วางใจและความท้าทายสำหรับประธานาธิบดีและพรรคเดโมแครด

Bá Thi
Chia sẻ
(VOVWORLD) -การเลือกตั้งรัฐสภากลางเทอมสหรัฐแม้จะไม่คึกคักเหมือนการเลือกตั้งประธานาธิบดีแต่ก็มีนัยสำคัญมากเนื่องจากจะชี้ชะตาว่า พรรคการเมืองใดจะครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสของสหรัฐในอย่างน้อยอีก2ปีต่อไป 
ศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เป็นทั้งการพิสูจความไว้วางใจและความท้าทายสำหรับประธานาธิบดีและพรรคเดโมแครด - ảnh 1ประธานาธิบดี โจ ไบเดน

ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในประเด็นข่าวสำคัญที่สุดในชีวิตการเมืองและสังคมของสหรัฐจึงดึงดูดความสนใจของทั้งประชามติภายในสหรัฐและในต่างประเทศ โดยเฉพาะกระบวนการเลือกตั้งในวันที่8พฤศจิกายนปีนี้ยิ่งเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดของสาธารณชนและสื่อทั่วโลกเพราะได้มีบริบทและมีลักษณะพิเศษเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมของสหรัฐ

จากการวิเคราะห์ของนักวิชาการและสื่อต่างประเทศ มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ศึกเลือกตั้งกลางเทอมนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งชาวอเมริกันและประชามติโลก โดยอันดับแรกคือความสำคัญของเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมของเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลก โดยจะมีการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด 435 ที่นั่งในสภาล่าง และ35ที่นั่งในวุฒิสภา ซึ่งจะตัดสินว่าพรรคการเมืองไหน เดโมแครดหรือริพับลิกันจะได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังจะมีการเลือกตั้งใหม่ผู้ว่าการรัฐใน 36 รัฐ และ3 ดินแดนภายใต้อธิปไตยของสหรัฐ ตลอดจนการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่บริหารท้องถิ่นของอีกหลายเมือง นอกจากนี้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอเมริกันยังจะลงคะแนนต่อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับระดับท้องถิ่นรวม129ฉบับ

จากข้อมูลการวิเคราะห์การเลือกตั้งรัฐสภากลางเทอมสหรัฐในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ผลการบริหารประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมาของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของพรรคที่ครองอำนาจในรัฐสภามีอิทธิพลชี้ขาดต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอเมริกัน ซึ่งตามนั้นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจึงมีแนวโน้มที่ชัดเจนในการลงคะแนนเสียงสนับสนุนพรรคของประธานาธิบดีที่มีการบริหารประเทศที่ดีตามความเห็นของพวกเขา และผลการเลือกตั้งรัฐสภากลางเทอมยังส่งผลต่อแผนยุทธศาสตร์บางส่วนของแต่ละพรรคการเมืองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งต่อไปซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสองปีต่อมา

ทั้งนี้เนื่องจากความสำคัญของการเลือกตั้งดังกล่าว ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจึงเร่งผลักดันการรณรงค์หาเสียงอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโค้งสุดท้ายของกระบวนการหาเสียง  อย่างเช่นจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่งใกล้วันลงคะแนนอย่างเป็นทางการคือในวันที่8พฤศจิกายน ทั้งประธานาธิบดี โจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งพรรคเดโมแครต รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน ต่างก็ปรากฎตัวที่รัฐเพนซิลเวอเนีย ซึ่งเป็นเขตยุทธศาสตร์เพื่อพยายามเป็นครั้งสุดท้ายในการโน้มน้าวเรียกคะแนนสนับสนุนจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เพราะการค้ำประกันชัยชนะในการเลือกตั้งรัฐสภากลางเทอมครั้งนี้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกตลอดเวลาที่ผ่านมา

ความท้าทายสำหรับประธานาธิบดี โจ ไบเดนและพรรคเดโทแครด

ขณะนี้ พรรคเดโมแครดกำลังครองที่นั่งข้างมากในสภาล่างคือ221ที่นั่ง ส่วนพรรครีพับลิกันมี212ที่นั่ง ส่วนในวุฒิสภา พรรครีพับลิกันครอง50ที่นั่งและเดโมแครดครอง48ที่นั่งบวกกับเสียงสนับสนุนของวุฒิสมาชิกอิสระ2คน ซึ่งหมายความว่า ในวุฒิสภา ทั้งสองพรรคมีเสียงสนับสนุนเท่ากัน แต่พรรคเดโมแครดได้เปรียบรีพับลิกันเนื่องจากมีรองประธานาธิบดี คามาล แฮร์รีส ของพรรคเดโมแครดเป็นประธานวุฒิสภา จึงจะมีเสียงชี้ขาดในการลงคะแนนต่างๆที่มีเสียงเท่ากัน

ดังนั้น พรรคเดโมแครดของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จำต้องพยายามค้ำประกันให้สถานการณ์หลังการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงหรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นไปตามแนวทางเอื้อประโยชน์มากขึ้นให้แก่พรรคของตน

แต่อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจความคิดเห็นหลายรอบที่จัดขึ้นก่อนการลงคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่า โอกาสที่จะชนะหรือพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ซึ่งในสภาวการณ์ดังกล่าว ประชามติสหรัฐและโลกต่างแสดงความสนใจต่อความท้าทายที่ร้ายแรงต่อทั้งหน้าที่ภายในประเทศและงานด้านการต่างประเทศที่พรรคเดโมแครดและประธานาธิบดีคนปัจจุบันต้องเผชิญ โดยในด้านการต่างประเทศควาท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการธำรง เสริมสร้างและขยายอิทธิพลที่ผุกพันกับผลประโยชน์หลักของสหรัฐในขอบเขตทั่วโลกท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์โลกที่ส่งผลไม่ดีต่อทั้งสถานะและผลประโยชน์ของสหรัฐ นั่นคือการปะทะระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ความชะงักงันในการเจรจาฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน การพัฒนานับวันแข็งแกร่งมากขึ้นของจีน ความมุ่งมั่นในการพึ่งตนเองที่นับวันเข้มแข้งมากขึ้นของพันธมิตรในภูมิภาคตะวันออกกลางและยุโรป เป็นต้น ส่วนในด้านหน้าที่ภายในประเทศนั้น ความท้าทายอันดับแรกคือการป้องกันภาวะถดถอยของเศรษฐกิจที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที การควบคุมเงินเฟ้อที่กำลังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษรวมถึงความท้าทายอื่นๆที่ต้องสนใจเช่นการควบคุมอาวุธปืนและปัญหาการเหยียดเชื้อชาติเป็นต้น

ตามความเห็นของวงการนักวิเคราะห์ การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโตไบเดนยังไม่สามารถบรรลุผลงานที่เป็นรูปธรรมในการรับมือแก้ไขความท้าทายต่างๆดังกล่าวได้ทำให้เสียงสนับสนุนของพรรคเดโมแครดกำลังลดน้อยลง ดังนั้นระยะเวลาข้างหน้านี้ก็ยิ่งเป็นความท้าทายสำหรับนายโจไบเดนและพรรคเดโมแครดถ้าพวกเขาไม่สามารถชนะในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้และสิ่งที่ต้องกังวลอีกก็คือแม้จะสามารถเอาชนะพรรครีพับลิกันไปได้ แต่ความท้าทายที่นายโจไบเดนและพรรคเดโมแครดอาจต้องเผชิญก็คือภาวะวุ่นวายลังการเลือกตั้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี2020ที่นายโดนันทรัมป์ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้จนนำไปสู่เหตุจลาจลกลางเมืองหลวงที่แคปิตอลฮิลล์เมื่อวันที่6มกราคมปี2021 เพราะฉนั้นประชามติสหรัฐและระหว่างประเทศจะไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการลงคะแนนอย่างเป็นทางการในวันที่ 8พฤศจิกายนเท่านั้นหากยังจับตาสถานการณ์หลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอีกด้วย./.

คำติชม