นี่เป็นการเยือนเวียดนามครั้งแรกของนาย เอ็มมานูเอล มาครง ในฐานะประธานาธิบดีฝรั่งเศสและเป็นการเยือนเวียดนามครั้งที่ 5 ของประธานาธิบดีฝรั่งเศสนับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1973
ความร่วมมือนับวันจริงจังมากขึ้น
การเยือนเวียดนามของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง มีขึ้นภายหลังการเยือนฝรั่งเศสของเลขาธิการใหญ่พรรค โตเลิม เมื่อเดือนตุลาคมปี 2024 โดยทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้าน ซึ่งการเยือนครั้งนี้ของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและคำมั่นที่เข้มแข็งของผู้นำฝรั่งเศสต่อการเสริมสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์กับเวียดนาม
นับตั้งแต่ที่ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ เวียดนามและฝรั่งเศสได้มีก้าวเดินสำคัญในความร่วมมือทวิภาคี สำหรับด้านการเมืองและการทูต กิจกรรมการแลกเปลี่ยนในด้านนี้ได้รับการผลักดัน กลไกความร่วมมือได้รับการขยาย เช่น การจัดการสนทนาทางทะเลครั้งแรกระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ณ กรุงฮานอย การผลักดันการประสานงานและความร่วมมือในปัญหาระดับโลก เช่น ในการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับ AI ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2025 การประชุม P4G ที่มีขึ้นเมื่อเดือนเมษายนปี 2025 และการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ณ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส สำหรับด้านกลาโหมและความมั่นคง การเยือนนครโฮจิมินห์ครั้งล่าสุดของเรือฟริเกต FS Provence สังกัดกองเรือบรรทุกเครื่องบินฝรั่งเศสเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสานต่อกิจกรรมการแลกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศบนเจตนารมณ์ของความร่วมมือ มีส่วนร่วมต่อสันติภาพและค้ำประกันความมั่นคง เสรีภาพในการเดินเรือในภูมิภาค สอดคล้องกับกฎหมายสากล นาย ดิงตว่านทั้ง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำฝรั่งเศสได้ย้ำว่า
“ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลง เวียดนามและฝรั่งเศสได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับปัญหาที่สำคัญต่างๆ ผลักดันความร่วมมือเพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ทั้งสองประเทศ ยืนหยัดปฏิบัติเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและพยายามรับมือกับความท้าทายระดับโลก”
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเสาหลักที่สำคัญอันดับต้น ๆ ในความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านระหว่างสองประเทศได้มีความคืบหน้าต่างๆ โดยมูลค่าการค้าต่างตอบแทนเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปี 2023 อยู่ที่กว่า 5 หมื่น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ความร่วมมือในด้านพลังงาน การคมนาคมในตัวเมือง โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ สาธารณสุข การศึกษาและความร่วมมือระดับท้องถิ่นได้รับการขยาย ในกรอบการเยือนเวียดนามเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นาย Laurent Saint-Martin รัฐมนตรีที่ดูแลการค้าต่างประเทศและชาวฝรั่งเศสในต่างประเทศสังกัดกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสเผยว่า ศักยภาพความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศยังมีอีกมากและทั้งสองประเทศสามารถส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในอนาคต
“ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถตอบสนองประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ใหญ่ของรัฐบาลเวียดนาม เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม การรับมือความท้าทายต่างๆ ในด้านพลังงานและการบิน ส่วนเวียดนามเป็นตลาดที่กำลังขยายตัว โดยมีประชากร 100 ล้านคน มีประชากรวัยทำงานและชนชั้นกลางที่นับวันเข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่สำหรับผลิตภัณฑ์ของฝรั่งเศสในการเจาะตลาดเวียดนาม”
ส่งเสริมประเด็นความร่วมมือใหม่
นอกจากด้านความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เวียดนามและฝรั่งเศสยังมีโอกาสใหญ่เพื่อผลักดันแนวทางความร่วมมือใหม่ ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาของเวียดนามและสอดคล้องกับจุดแข็งของฝรั่งเศส เช่น พลังงานนิวเคลียร์ วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ โดยมติที่ 57 เกี่ยวกับก้าวกระโดดในการพัฒนาวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี นวัตกรรมและการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลได้กำหนดว่า วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีเป็นนโยบายชั้นนำในศักราชแห่งการพัฒนาใหม่ของประเทศ ซึ่งแนวทางนี้ได้รับความสนใจ การสนับสนุนและการชื่นชมจากประชาคมโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยฝรั่งเศส นาง Sarah Mamiese ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารศูนย์การฝึกอบรมของสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศฝรั่งเศสได้ประเมินว่า เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่เดินหน้าด้านนวัตกรรมในจำนวนประเทศที่มีรายได้ปานกลาง มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เพื่อเพิ่มทักษะความสามารถด้านนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูงของโลก ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการเลื่อนขึ้นอันดับของเวียดนามในตารางการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรม โดยรายงานดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2024 ระบุว่า เวียดนามอยู่อันดับที่ 2 เดี่ยวกับดัชนีนวัตกรรมในจำนวน 38 ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
จากสถานะเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี พลังงาน การบิน ปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น และเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนที่เข้มแข็งที่สุดในยุโรปในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ฝรั่งเศสมีจุดแข็งที่สามารถร่วมมือและสนับสนุนยุทธศาสตร์ใหม่ของเวียดนาม คาดว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะพบปะกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮานอย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสนใจของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมเสาหลักใหม่ให้สมกับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านระหว่างสองประเทศ.