(VOVworld) – ในระหว่างวันที่๑๐ถึงวันที่๑๑เดือนนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีนได้เข้าร่วมการสนทนาเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับจีน ครั้งที่๕ ณ กรุงวอชิงตันซึ่งดำเนินไปในขณะที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังประสบมรสุมและมีขึ้นภายหลังการเยือนสหรัฐของประธานประเทศจีนสีจีนผิงเมื่อเดือนก่อนจึงถูกคาดหวังว่า จะเป็นโอกาสเพื่อช่วยให้ทั้งสองประเทศมหาอำนาจมีก้าวเดินที่สำคัญในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่
|
การสนทนาเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีนครั้งที่๕(Photo:Vietnam+ ) |
แหล่งข่าวจากสถานทูตจีนประจำสหรัฐรายงานว่า ในการสนทนาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่บริหารของ๒๐กระทรวงและหน่วยงานจากทั้งสองประเทศจะเข้าร่วมการอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจและการเงินทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาคและโลก ก่อนการสนทนา นักวิเคราะห์และ ผู้สังเกตุการณ์จำนวนมากเห็นว่า สำหรับการสนทนาครั้งนี้รัฐบาลทั้งสองประเทศได้วางรากฐานแรกให้แก่การสร้างสรรค์ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างประเทศใหญ่ แต่อย่างไรก็ดี เพื่อเดินไปให้ถึงจุดหมาย นี่ถือเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยขวากหนามเพราะทั้งสองฝ่ายยังมีข้อขัดแย้งในหลายปัญหาที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตและเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ซึ่งถ้าไม่แก้ไขให้เด็ดขาดก็ยากที่จะกำหนดนิยามให้แก่คำว่า“ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างประเทศใหญ่” ก่อนอื่น กำแพงที่กีดกันความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐกับจีนอยู่ในปัญหาเศรษฐกิจและการค้าโดยไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในตลอด๓๔ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมาจนถึงปัจจุบัน มูลค่าการค้าทวิภาคีได้เพิ่มขึ้น ๑๙๘เท่า โดยเฉพาะ ใน๕ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าต่างตอบแทนจาก๒แสน๗หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ๕แสนล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี การพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าที่ร้อนแรงนั้นได้ดำเนินควบคู่ไปกับการพิพาทและความระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างสองประเทศก็ยังมีสูงมาก ปัจจุบัน บรรดานักลงทุนสหรัฐกำลังเผชิญหน้ากับการกีดกันหรือข้อจำกัดด้านการถือครองกรรมสิทธิ์ใน๙๐ด้านในจีน ในขณะที่บรรดาบริษัทของจีนที่แสวงหาโอกาสลงทุนในสหรัฐมีความเป็นห่วงว่า จะถูกผลกระทบจากการตัดสินใจที่ไร้ประโยชน์จากรัฐสภาสหรัฐหรือถูกปฏิเสธเพราะเหตุผลด้านความมั่นคง อีกด้านหนึ่ง การกำหนดค่าเงินหยวนก็เป็นปัญหาที่สร้างการถกเถียงระหว่างสองประเทศมหาอำนาจที่สร้างอุปสรรคในการแลกเปลี่ยนทางการค้า นานมาแล้ว สหรัฐยังคงเห็นว่า ทางการจีนได้กำหนดค่าเงินหยวนต่ำเกินไปเพื่อช่วยให้สถานประกอบการของประเทศนี้มีความได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางอินเตอร์เนตก็เป็นปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน รายงานของคณะกรรมการตรวจสอบกิจกรรมการขโมยลิขสิทธิ์ทางปัญญาสหรัฐที่ประกาศ เมื่อเร็วๆนี้ ระบุว่า ทุกปี ความเสียหายทางเศรษฐกิจเนื่องจากการโจมตีครั้งใหญ่ของแฮกเกอร์นานาชาติอยู่ประมาณ๓แสนล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมีแฮกเกอร์จีนเป็นตัวการหลัก ในขณะที่การถกเถียงเกี่ยวกับปัญหานี้ยังไม่สิ้นสุด ปัญหาก็นับวันยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นหลังจากที่มีข่าวว่า โครงการสอดแนมของสำนักงานความมั่นคงของสหรัฐหรือ NSA ที่นาย เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ เปิดโปงนั้นมีการกล่าวถึงเป้าหมายโจมตีคือเครือข่ายอินเตอร์เนตของมหาวิทยาลัยจีนหัวในกรุงปักกี่งและมหาวิทยาลัยฮ่องกง ดังนั้น ในการสนทนาครั้งนี้ จีนหวังว่า จะมีการอธิบายจากสหรัฐ ในขณะเดียวกัน แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐรายงานว่า สหรัฐมีความประสงค์ว่า ทั้งสองฝ่ายจะเน้นแก้ไขกรณีขโมยข้อมูลทางการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายน่าจะยังไม่สามารถบรรลุความเข้าใจร่วมกันได้ในการสนทนาครั้งนี้นอกจากนี้ การที่สหรัฐขายอาวุธให้แก่ไต้หวันประเทศจีน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐกับจีนมีความแตกร้าว นอกจากนี้ ปัญหาภูมิภาคและโลกต่างๆก็ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ เช่น ปัญหาการปลอดนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี และการพิพาททางน่านน้ำในเอเชียตะวันออก แม้ว่า ปัจจุบัน สหรัฐเคยแถลงว่า จะวางตัวเป็นกลางในเรื่องการพิพาทอธิปไตยเหนือน่านน้ำในเอเชีย และปฏิเสธบทบาทการเป็นคนกลางระหว่างฝ่ายต่างๆ เรียกร้องให้ประเทศต่างๆแก้ไขการพิพาทอย่างสันติ เลี่ยงปฏิบัติการที่ส่งผลเสียต่อการเดินเรืออย่างเสรีในภูมิภาค แต่จีนยังคงเห็นว่ นโยบายฟื้นฟูความสมดุลย์ด้านกองกำลังในเอเชียที่ทางการโอบามาปฏิบัติกำลังกลายเป็นคานงัดให้แก่ประเทศต่างๆที่กำลังถูกจีนแทรงหน้าและสร้างสถานะสมดุลย์ในภูมิภาค
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การที่จีนและสหรัฐสร้างสรรค์ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างประเทศใหญ่กำลังอยู่ในกระบวนการสำรวจเพราะจุดที่โดดเด่นแต่ก็เป็นข้อบกพร่องในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจคือ การขาดความไว้วางใจเชิงยุทธศาสตร์ต่อกัน การพบปะสุดยอดหรือระดับสูงสหรัฐจีนยากที่จะแก้ไขข้อบกพร่องในขั้นพื้นฐานได้ รวมทั้งการสนทนาประจำปีครั้งนี้ก็เช่นกัน อย่างไรก็ดี เพื่อลดความเข้าใจผิดที่อาจจะนำไปสู่ความแตกแยกในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้รับการประเมินว่า กำลังเดินตามแนวทางแห่งความสมดุลย์มากขึ้นนับตั้งแต่การพบปะสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีบารัก โอบามาและประธานประเทศจีนสีจีนผิง เมื่อเดือนก่อนโดยทั้งสองฝ่ายต่างมีคำแถลงที่เข้มแข็ง ทางการและประชาชนทั้งสองประเทศควรตระหนักให้ดีว่า ต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ความร่วมมือกันเพื่อร่วมกันประสบชัยชนะบนเส้นทางสร้างสรรค์ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างจีนกับสหรัฐซึ่งก็เป็นสิ่งที่ประชามติคาดหวังจากการสนทนาครั้งนี้ ./.