บทสัมภาษณ์นายหวูห่งนาม รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเวียดนาม

Lan Phuong - VOV5
Chia sẻ
(VOVworld) –  เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับไทย นายหวูห่งนาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามและหัวหน้าคณะกรรมการแห่งรัฐว่าด้วยชาวเวียดนามที่อาศัยในต่างประเทศได้แนะนำข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างสองประเทศและการอำนวยความสะดวกของรัฐบาลไทยให้แก่ชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศไทย
(VOVworld) - ในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับไทย นายหวูห่งนาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้ประเมินผลสำเร็จของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในตลอด 40 ปีที่ผ่านมาว่า

บทสัมภาษณ์นายหวูห่งนาม รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเวียดนาม - ảnh 1
นายหวูห่งนาม รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเวียดนาม
 “นิมิตรหมายที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประชาชาติใกล้ชิดยิ่งขึ้นคือการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมปี 1976 ซึ่งเปิดเส้นทางการพัฒนาใหม่ระหว่างสองประเทศ เมื่อปี 1976 ท่านฝามวันด่ง เป็นนายกรัฐมนตรีเวียดนามคนแรกที่ได้เดินทางไปเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการและถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีจากประเทศสังคมนิยม ในครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ออกแถลงการณ์ร่วมที่วางแนวทางให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเวลาต่อไปและสร้างพื้นฐานที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพัฒนาอย่างงดงามในปัจจุบัน
ในปี 1995 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้พัฒนาอย่างเข้มแข็งเนื่องจากเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียน ทำให้กลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญต่อกันและสำหรับประเทศไทย เวียดนามได้มีความสัมพันธ์ที่เสมอภาคและเป็นมิตรจนนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ร่วมมือในทุกด้าน
เมื่อปี 2004 ได้มีการจัดการประชุมครม.ร่วมครั้งแรก ณ นครดานัง ประเทศเวียดนาม และจนถึงปัจจุบัน เวียดนามและไทยได้จัดการประชุมครม.ร่วม 3 ครั้งแล้ว โดยในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อปี 2015 ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแผนการที่เป็นรูปธรรมโดยตั้งเป้าไว้ว่า จะเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 ส่วนการเยือนประเทศไทยเมื่อปี 2013 ของท่านเหงียนฟู้จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามก็ได้มีการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ถ้าหากมองในภาพร่วมในตลอด 40 ปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่ในระดับสูงสุดและการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศก็อยู่ในระดับสูงสุดเช่นกัน”
สำหรับบทบาทของความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับไทยในการสร้างสรรค์ประชาคมอาเซียน รัฐมนตรีช่วยหวูห่งนามให้ข้อสังเกตว่า “เวียดนามและไทยมีระบบเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา มีระบบการเมืองที่คล่องตัว ประชากรของเวียดนามและไทยคิดเป็น 1ใน3 ของกลุ่มอาเซียน ส่วนจีดีพีของทั้งสองประเทศก็อยู่ที่ 1ใน 3 ของกลุ่มอาเซียเช่นกัน ดังนั้นความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับไทยจะส่งผลต่อความร่วมมือและความเชื่อมโยงของประเทศต่างๆในภูมิภาค เช่น เมียนร์มา ลาวและ กัมพูชาเพื่อมีส่วนร่วมผลักดันการพัฒนาของประชาคมอาเซียน
ในตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เวียดนามและไทยได้ร่วมมือแก้ไขปัญหาของประชาคมอาเซียนและผมมีความเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหวางสองประเทศจะมีส่วนร่วมเป็นอย่างมากต่อการเสริมสร้างความร่วมมือและความสามัคคีของอาเซียน สำหรับปัญหาทะเลตะวันออก ไทยก็เป็นประเทศเดินหน้าในการแสวงหาวิธีแก้ไขเพื่อสร้างสรรค์สันติภาพและเสถียรภาพในทะเลตะวันออก ปกป้องบรรยากาศสันติภาพให้แก่การพัฒนาของบรรดาประเทศอาเซียน”
รัฐมนตรีช่วยหวูห่งนามยังย้ำถึงการอำนวยความสะดวกของรัฐบาลไทยต่อชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศไทยนับแสนคนว่า “ปัญหาคนเวียดนามที่อาศัยในต่างประเทศมักจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในการประชุมครั้งต่างๆระหว่างเวียดนามกับไทย ก่อนที่เวียดนามและไทยจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ฝ่ายไทยก็มีข้อจำกัดต่างๆสำหรับชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศไทย เมื่อปี 1998 ในการเยือนประเทศไทยของประธานประเทศเวียดนามเจิ่นดึ๊กเลือง ทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องกันในปัญหาต่างๆ โดยรัฐบาลไทยได้อนุญาติให้คนไทยเชื้อสายเวียดนามในประเทศไทยถือสัญชาติไทย ซึ่งปัจจุบัน พวกเขาได้กลายเป็นคนไทย ได้รับสิทธิและปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ การอนุญาตินั้นมีความหมายสำคัญต่อชีวิตของคนไทยเชื้อสายเวียดนามและเปิดโอกาสให้พวกเขาปรับตัวเข้ากับสังคมไทย ปัจจุบันนี้ ชมรมชาวเวียดนามในประเทศไทยได้จัดตั้งสมาคมรวม 10 สาขาในทั่วประเทศไทย ซึ่งได้ปฏิบัติงารอย่างมีประสิทธิภาพ ผมมีความเชื่อมั่นว่า ควบคู่กับความพยายามของชมรมชาวเวียดนาม การช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยได้มีส่วนร่วมเสริมสร้างให้ชมรมชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศไทยกลายเป็นชุมชนที่มีสถานะและบทบาทสำคัญในสังคมไทย".

คำติชม