ฉนวนกาซากับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้หลังแผนการของสหรัฐ

Quang Dung
Chia sẻ
(VOVWORLD) - คำประกาศที่เป็นข้อถกเถียงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าสหรัฐจะเข้าควบคุมฉนวนกาซากำลังทำให้อนาคตของดินแดนนี้อาจคาดเดาไม่ได้ ในสภาวการณ์ที่การปะทะที่ยืดเยื้อมานาน 16 เดือนได้ทำลายดินแดนของชาวปาเลสไตน์ 2.3 ล้านคนเกือบทั้งหมด
ฉนวนกาซากับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้หลังแผนการของสหรัฐ - ảnh 1ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Anadolu Agency)

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้ประชาคมโลกต้องตกใจเมื่อประกาศว่า สหรัฐจะเข้าควบคุมฉนวนกาซา ซึ่งท่าทีนี้เสี่ยงที่จะทำให้สถานการณ์ในฉนวนกาซามีความซับซ้อนมากขึ้นในสภาวการณ์ที่การปะทะที่ยืดเยื้อในดินแดนนี้ยังไม่มีมาตรการแก้ไขที่ยั่งยืน

แถลงการณ์ที่สร้างข้อถกเถียง

ตามการอธิบายอย่างชัดเจนมากขึ้นของเจ้าหน้าที่นักการทูตสหรัฐเพื่อขยายความคำประกาศดังกล่าวของนาย โดนัลด์ ทรัมป์นั้น   แผนการของสหรัฐที่จะเข้าไปคุมฉนวนกาซาเริ่มจาก “ความปรารถนาดี” ของประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูฉนวนกาซาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2023  ซึ่งนาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐย้ำว่า ทางการสหรัฐไม่มีแผนเนรเทศชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซาอย่างถาวร แต่จะเป็นเพียงการปฏิบัติชั่วคราวเท่านั้น ส่วนนาง คาโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวเผยว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐจะส่งทหารไปยังพื้นที่ฉนวนกาซา

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีคำอธิบายเหล่านี้ คำประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐต่อฉนวนกาซายังคงถูกประท้วงอย่างรุนแรงจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นาย อันโตนีโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้เตือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้หลีกเลี่ยงทุกการกระทำ ที่เป็น “การกวาดล้างชาติพันธุ์” ในฉนวนกาซา ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลก รวมทั้งประเทศพันธมิตรตะวันตกหลายประเทศของสหรัฐได้ประท้วงอย่างรุนแรงต่อแผนการนี้ และยืนยันว่า มาตรการแก้ไขที่ยั่งยืนเพียงทางเดียวสำหรับกระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลางคือ “มาตรการสองรัฐอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

ตามความเห็นของบรรดาผู้สังเกตการณ์อย่าง นาย Benjamin Radd ผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Burkle ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  ลอสแอนเจลิสหรือ UCLA นั้นคำประกาศในเรื่องดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน และขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนนาย James Gelvin ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของ UCLA เผยว่า แนวคิดของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเนื่องจากเกี่ยวข้องถึงเรื่องเชื้อชาติ วัฒนธรรม กฎหมายและความมั่นคง ในขณะเดียวกัน นาย Brian Katulis ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันตะวันออกกลางของสหรัฐแสดงความเห็นว่า แนวคิดของประธานาธิบดีสหรัฐไม่มีความจริงจัง

“ผมคิดว่า ยังไม่มีแผนการใดๆภายหลังคำประกาศนี้ และถ้าหากมีจริงก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในตะวันออกกลางในปัจจุบัน และแน่นอนว่า ยังไม่มีการปรึกษาหารือกับชาวปาเลสไตน์หรือประเทศเพื่อนบ้าน อียิปต์และจอร์แดน ซึ่งเป็นประเทศที่คัดค้านก้าวเดินแรกในแผนการของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะย้ายชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดในฉนวนกาซาไปยังประเทศเหล่านี้”

ความเสี่ยงที่ทุกฝ่ายต้องเผชิญ

ถึงแม้ว่า บรรดาผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ต่างแสดงความเห็นว่า แผนควบคุมกาซาของสหรัฐ กำลังเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมาย และยังเดินสวนกับแนวทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันของภูมิภาคนี้ ส่วนผู้เชี่ยวชาญบางคนยังเชื่อว่า ถ้าหากประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความจริงจังกับแผนการนี้ ก็จะเป็นเรื่องยากที่จะขัดขวางได้  ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เบนจามิน แรด ถ้าหากทางการของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสนับสนุนจากประเทศอาหรับที่สำคัญๆ เช่น ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือ UAE แผนการดังกล่าวก็สามารถดำเนินการได้เพื่อปรับเปลี่ยนฉนวนกาซาเป็น “ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง” ดั่งเช่นคำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหมายความว่า เป็นพื้นที่ที่ได้รับการลงทุนเพื่อกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศเหมือนเขตริเวียร่าที่มีพรมแดนติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและทางตอนเหนือของอิตาลี สิ่งที่สำคัญคือ แผนการของประธานาธิบดีสหรัฐกำลังได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากพรรคการเมืองต่างๆในอิสราเอล โดยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ รัฐบาลอิสราเอลยังได้สั่งให้กองทัพของประเทศเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพชาวปาเลสไตน์ออกจากฉนวนกาซา

การเคลื่อนไหวในปัจจุบันได้สร้างความเสี่ยงให้แก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ ประชาชนปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ในฉนวนกาซา ตลอดจนความหวังเกี่ยวกับการปฏิบัติคำสั่งหยุดยิงระยะที่ 2 ในฉนวนกาซา โดยหลังคำประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐเกี่ยวกับการเข้าคุมฉนวนกาซา ความพยายามขยายผลบังคับใช้คำสั่งหยุดยิงและการแลกเปลี่ยนตัวประกันที่กาตาร์เป็นคนกลางก็ถูกละเลยไป ส่วนประเทศอาหรับในภูมิภาคได้หันความสนใจมาเป็นการป้องกันไม่ให้แผนการของประธานาธิบดีสหรัฐกลายเป็นความจริง ตามความเห็นของศาสตราจารย์ เจมส์ เกลวิน ความกังวลของประเทศอาหรับเกี่ยวกับแผนการของประธานาธิบดีสหรัฐจะทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตในภูมิภาคที่มีความเปราะบางอยู่แล้วจะมีความลำบากมากขึ้น

“ประเทศในตะวันออกกลางกำลังคัดค้านอย่างรุนแรง โดยซาอุดิอาระเบียได้ย้ำชัดเจนว่า ต้องมีมาตรการสองรัฐอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในขณะที่อียิปต์และจอร์แดนแสดงทัศนะหลายครั้งว่า ไม่อยากรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ ดังนั้น สำหรับโลกอาหรับ นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถประนีประนอมได้”

สำหรับประเทศสหรัฐ แผนการเข้าควบคุมฉนวนกาซาก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงมากมายเช่นกัน ซึ่งตามความเห็นของบรรดาผู้สังเกตการณ์ เพื่อที่จะคุมฉนวนกาซาได้อย่างสมบูรณ์ในสภาวการณ์ปัจจุบัน สหรัฐจะต้องระดมกองกำลังทหารหลายพันนายและอาวุธยุโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อลาดตระเวนและเตรียมพร้อมรับมือการสู้รบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยบอกอยากหลีกเลี่ยงต่อหน้าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนี้ การปรากฎตัวของกองกำลังทหารสหรัฐในฉนวนกาซาอาจจุดชนวนการปะทะโดยตรงระหว่างสหรัฐกับกลุ่มฮามาสหรือกองกำลังของอิหร่าน และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆในภูมิภาค และมีความเสี่ยงที่จะทำให้สหรัฐต้องติดหล่มในการปะทะครั้งใหม่.

คำติชม