ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับอียู ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

Anh Huyen- VOV5
Chia sẻ
(VOVWORLD) -ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะ สหภาพยุโรปหรืออียูนับวันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องได้ใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากอีกฝ่าย  ในสภาวการณ์ที่การฟื้นเศรษฐกิจโลกกำลังประสบอุปสรรคต่างๆ  การตอบโต้ทางการค้าของฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องอาจสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลก
ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับอียู ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - ảnh 1

ความเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับอียู ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

นับตั้งแต่วันที่1กรกฎาคมนี้ สหภาพยุโรปจะปรับภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ  ในประกาศของคณะกรรมการยุโรปหรืออีซีเมื่อต้นเดือนมิถุนายน บรรดาประเทศสมาชิกอียูเห็นพ้องที่จะสนับสนุนแผนการของอีซีเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ มูลค่า2.8พันล้านยูโร การตัดสินใจที่แข็งกร้าวนี้ของอียูได้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ25และอลูมิเนียมร้อยละ10จากอียู แคนาดาและเม็กซิโก

จากการตัดสินใจดังกล่าว มีความเป็นไปได้ที่สถานประกอบการทั้งสองประเทศจะได้รับความเสียหาย รวมทั้งเกิดความเสี่ยงระเบียบการค้าโลกและคำมั่นต่างๆในองค์การการค้าโลกอาจถูกทำลาย ซึ่งคุกคามต่อเสถียรภาพการเงินโลกด้วย

การเพิ่มมาตรการตอบโต้ทางการค้า

เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กร้อยละ25และอลูมิเนียมร้อยละ10 จากอียูและหุ้นส่วนการค้าต่างๆ เช่น แคนาดา เม็กซิโกและจีน ซึ่งเป็นการเก็บภาษีสินค้าในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี1971

ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวของสหรัฐได้ถูกคัดค้านจากประเทศต่างๆ  ในการประกาศเมื่อเร็วๆนี้ อียูได้เผยว่า สภายุโรปรู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจดังกล่าวของสหรัฐ พร้อมทั้ง ให้การสนับสนุนความพยายามของอีซีเพื่อปกป้องสิทธิของอียูตามข้อกำหนดต่างๆขององค์การการค้าโลกหรือWTOเพื่อตอบโต้อย่างเหมาะสมต่อปฏิบัติการต่างๆของสหรัฐ  อียูเห็นว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์กำลังยั่วยุอียูและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอียู  อียูได้วางแผนการตอบโต้ โดยประกาศปรับขึ้นภาษีร้อยละ25ต่อสินค้า200รายการของสหรัฐ เช่น จักรยายนต์ บุหรี่และสุราวิสกี้

นับตั้งแต่ต้นปี2018 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับอียูได้ย่างเข้าสู่ระยะใหม่  บรรดานักวิเคราะห์เห็นว่า ในเวลาที่จะถึง  รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศปรับขึ้นภาษีใหม่ในขอบเขตที่ใหญ่กว่าต่อสินค้าของอียู  ในการเลือกตั้งเมื่อปี2016 มหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ได้ยืนหยัดสนับสนุนการคุ้มครองการค้า คัดค้านการค้าเสรีและกระบวนโลกาภิวัตน์และยังให้คำมั่นที่จะปรับขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าเนื่องจากเห็นว่า ประเทศต่างๆหาประโยชน์จากสหรัฐ ดังนั้น เพื่อปฏิบัติคำมั่นที่ให้ไว้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง  นับตั้งแต่ต้นปี2018 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ได้เริ่มการเผชิญหน้าด้านเศรษฐกิจกับหุ้นส่วนต่างๆ

ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของอียูและโลก

  ตามการพยากรณ์ขององค์การความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจหรือOCED จากการปรับขึ้นภาษีดังกล่าว มูลค่าการค้าทั่วโลกจะลดลงร้อยละ6และอัตราจีดีพีของประเทศต่างๆที่ถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษี รวมทั้งอียูจะลดลงอย่างน้อยร้อยละ2

บรรดานักวิเคราะห์ได้เผยว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคของลัทธิคุ้มครองการค้าของสหรัฐกำลังปรากฎให้เห็น การที่ประเทศต่างๆทำการตอบโต้สหรัฐผ่านการปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐได้ทำให้เกิดกำแพงกีดกันทางการค้า  ซึ่งต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่า จนอาจสร้างความตึงเครียดให้แก่เวทีการเมืองโลกและมีความเป็นไปได้ที่ความตึงเครียดด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับอียูอาจกลายเป็นสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบในเวลาที่จะถึง โดยไม่มีฝ่ายใดได้รับผลประโยชน์  ถ้าหากเกิดสงครามการค้า  อัตราภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้าของสหรัฐ  ส่วนอียูก็ได้รับผลเสียหายอย่างหนักเนื่องจากสหรัฐเป็นหุ้นส่วนการค้าและตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของอียู

ในสภาวการณ์ที่ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรยังไม่สามารถเสร็จสิ้นการปรับปรุงกลไกในทุกด้านเพื่อค้ำประกันเสถียรภาพทางการเงินของยุโรปและพยายามแก้ไขปัญหาผู้อพยพ  การที่ถูกเก็บภาษีในระดับสูงจากหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดจะส่งผลกระทบต่อความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจอียู  สิ่งที่ประชามติกำลังรอคอยคือ ฝ่ายต่างๆจะหลีกเลี่ยงสงครามการค้าผ่านมาตรการทางการทูตต่างๆ.

คำติชม