ความสัมพันธ์เวียดนาม-เนเธอร์แลนด์พัฒนาอย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากขึ้น

Quang Dung
Chia sẻ
(VOVWORLD) - นาย มาร์ก รุตต์ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ได้เดินทางมาเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 1-2 พฤศจิกายนตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง นี่เป็นนิมิตหมายที่สำคัญเพราะปีนี้ เวียดนามและเนเธอร์แลนด์ฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์กำลังพัฒนาอย่างดีงาม และพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะใหม่ที่ลึกซึ้งมากขึ้น
ความสัมพันธ์เวียดนาม-เนเธอร์แลนด์พัฒนาอย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากขึ้น - ảnh 1นาย มาร์ก รุตต์ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ (VNA)

สำหรับนายกรัฐมนตรี มาร์ก รุตต์ นี่เป็นการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการครั้งที่ 3 หลังการเยือนเวียดนามเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 และเดือนเมษายน 2019 ที่น่าสนใจคือ การเยือนครั้งนี้มีขึ้นภายหลังการเยือนเนเธอร์แลนด์ของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์พัฒนาอย่างดีงามในหลายด้าน และเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ทั้งสองประเทศพร้อมที่จะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

ตัวอย่างดีเด่นของความสัมพันธ์ที่คล่องตัวและมีประสิทธิภาพ

เวียดนามและเนเธอร์แลนด์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1973 แต่การติดต่อครั้งแรกระหว่างทั้งสองประเทศเกิดขึ้นเมื่อกว่า 4 ศตวรรษก่อนผ่านเรือของพ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ที่มาเทียบท่าที่เมืองฮอยอัน จังหวัดกว๋างนาม

      ในตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศมีการพัฒนที่เป็นก้าวกระโดด โดยจากการเป็นหุ้นส่วนพัฒนาที่สนับสนุนเวียดนามในหลายโครงการ เช่น การก่อสร้างโรงเรียนมัธยมอัจฉริยะฮานอย- อัมสเตอร์ดัม โรงพยาบาล และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำประปา ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์ได้กลายเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนชั้นนำของเวียดนามในยุโรป

ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปหรือ EU ในเวียดนามด้วยยอดเงินลงทุนรวมประมาณ 13.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นประเทศนำเข้าสินค้าเวียดนามรายใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยยอดมูลค่าการค้าต่างตอบแทนเมื่อปีที่แล้วบรรลุกว่า 1 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย คริสตอฟ พรอมเมอร์สเบอร์เกอร์ อุปทูตเนเธอร์แลนด์ประจำเวียดนามได้ประเมินว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างดีเด่นของความสัมพันธ์ที่คล่องตัวและมีประสิทธิภาพ

“ในหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการพัฒนาของเวียดนาม ขณะนี้ ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่หลากหลายและสมดุลบนพื้นฐานของผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน”

นอกจากการค้าและการลงทุนแล้ว เวียดนามและเนเธอร์แลนด์ยังได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 2 ฉบับ ได้แก่ ข้อตกลงหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการบริหารจัดการน้ำปี 2010 และข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารปี 2014 และในหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะประเทศที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้ำเป็นเวลาหลายศตวรรษและมีชื่อเสียงระดับโลก เนเธอร์แลนด์ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเหลือเวียดนามเพื่อปฏิบัติโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และวิจัยแผนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในเขตที่ราบลุ่มชายฝั่ง

ความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่อยู่ในระดับรัฐบาลเท่านั้น หากยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งระหว่างมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย สถานประกอบการ องค์กรทางสังคมและประชาชนของทั้งสองประเทศอีกด้วย ในด้านการศึกษา ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำในยุโรปของนักศึกษาเวียดนาม

ความสัมพันธ์เวียดนาม-เนเธอร์แลนด์พัฒนาอย่างลึกซึ้งและรอบด้านมากขึ้น - ảnh 2 นาย คริสตอฟ พรอมเมอร์สเบอร์เกอร์ อุปทูตเนเธอร์แลนด์ประจำเวียดนาม (VGP)

ระยะการพัฒนาใหม่ที่ลึกซึ้งมากขึ้น

บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีงามในตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เวียดนามและเนเธอร์แลนด์กำลังมุ่งสู่ระยะการพัฒนาใหม่ของความสัมพันธ์ทวิภาคี ที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อด้านความร่วมมือใหม่ในระดับสูงกว่า

นาย Kees van Baar เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำเวียดนามแสดงความเห็นว่า ในการเยือนเวียดนามครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ยังมีคณะผู้ประกอบการชั้นนำของเนเธอร์แลนด์ในด้านเทคโนโลยีร่วมคณะมาด้วย และมีเป้าหมายส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลซึ่งเป็นเนื้อหาที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆที่เนเธอร์แลนด์มีความประสงค์ที่จะร่วมมือกับเวียดนาม ท่านทูต Kees van Baar เผยว่า ในโอกาสไปเยือนศูนย์เทคโนโลยี Brainport หรือ BIC เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานประกอบการด้านเทคโนโลยีชั้นนำของเนเธอร์แลนด์ ผู้นำรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังประทับใจกับคำพูดของนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ที่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์เริ่มต้นด้วยการแลกเปลี่ยนการค้าทางท่าเรือทะเลเมื่อ 4 ศตวรรษก่อนจนถึงศตวรรษที่ 20ความสัมพันธ์นั้นได้ขยายตัวผ่านช่องทางขนส่งทางอากาศและ จะได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นในศตวรรษที่ 21 ด้วยการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีขั้นสูง ท่านเอกอัครราชทูตประเมินว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งเวียดนามและเนเธอร์แลนด์ต่างมุ่งมั่นที่จะถือเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นเสาหลักใหม่ของความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ

“นักลงทุนภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของเนเธอร์แลนด์ให้ความสนใจถึงตลาดเวียดนามเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบริษัทไฮเทคหลายแห่งกำลังประกอบธุรกิจในเวียดนามอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Samsung LG และ Foxconn ตลอดจน บริษัทไฮเทคเวียดนาม เช่น FPT และ CMC นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีของเนเธอร์แลนด์ยังมีความประสงค์ที่จะแสวงหาฐานการผลิตอื่นนอกเหนือจากจีนเพื่อลงทุนผลิตส่วนประกอบของเทคโนโลยีขั้นสูง”

ในสภาวการณ์ที่เวียดนามกำลังปฏิบัติ 3 ก้าวกระโดดแห่งการเติบโต โดยเน้นถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม และการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล ศักยภาพความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์ในด้านใหม่ๆที่ได้รับความสนใจยังมีอีกมาก เนเธอร์แลนด์มีสถานประกอบการเทคโนโลยีขั้นสูงชั้นนำของโลกในด้านเซมิคอนดักเตอร์ โทรคมนาคมและอีคอมเมิร์ซ เช่น ASML, NXP, Phillips และ Adyen ในขณะที่เวียดนามกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่น่าสนใจสำหรับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

ขณะเดียวกันเนื่องจากทั้งสองประเทศมีความคล้ายคลึงกันในด้านภูมิศาสตร์คือมีพื้นที่เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำอันกว้างใหญ่จึงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อแนวทางการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรของทั้งสองประเทศ ดังนั้น ศักยภาพความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับเนเธอร์แลนด์ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงสูงมากเช่นกัน

อาจกล่าวได้ว่า ในสภาวการณ์ที่โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มแข็งเกี่ยวกับกระแสการลงทุนด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นความท้าทายต่อการคงอยู่ของมนุษยชาติ เวียดนามและเนเธอร์แลนด์ต่างก็มีความสนใจเป็นอันดับต้นๆและการร่วมกันแก้ไขเพื่อนำความสัมพันธ์ทวิภาคีเข้าสู่ระยะการพัฒนาใหม่ที่ลึกซึ้งมากขึ้น ตอบสนองผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ ตลอดจนมีส่วนร่วมต่อการรับมือความท้าทายระดับโลก.

คำติชม