ความท้าทายครั้งใหญ่ต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

Quang Dung
Chia sẻ
(VOVWORLD) - ในรายงานประจำปีที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม สหประชาชาติได้เผยว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs หลายประเด็นในระเบียบวาระการประชุมปี 2030 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ซึ่งต้องมีปฏิบัติการที่เร่งด่วนและเคร่งครัดจากประเทศต่างๆ และประชาคมระหว่างประเทศ

รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือ SDGs ได้รับการเผยแพร่โดยสหประชาชาติในกรอบการประชุมเวทีหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ HLPF ซึ่งเปิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติใน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ  นอกจากนี้ นี่ยังเป็นรายงานประจำปีครั้งที่ 10 ของสหประชาชาติ นับตั้งแต่ 17 เป้าหมายของ SDGs ถูกระบุในระเบียบวาระการประชุมปี 2030 ของสหประชาชาติเมื่อปี 2015

ภาพรวมที่มีความแตกต่างกัน

ในรายงานประจำปีนี้ สหประชาชาติย้ำว่า 10 ปีหลังจากที่ SDGs ถูกระบุในระเบียบวาระการประชุมปี 2030 มีเป้าหมายประมาณร้อยละ 35 จาก 17 เป้าหมายกำลังได้รับการปฏิบัติอย่างถูกทิศทางและบรรลุความก้าวหน้าที่ชัดเจน ที่น่าสังเกตคือ มีความคืบหน้าในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายข้อที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ อัตราความยากจนขั้นรุนแรงลดลง อัตราการตายของทารกแรกเกิดและสตรีลดลงอย่างรวดเร็ว อัตราการเข้าถึงการศึกษาทั่วไปของเด็กหญิง รวมถึงอัตราการเข้าถึงการศึกษาของประชาชนในแต่ละประเทศล้วนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นาย อันโตนีโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติกล่าวว่า ความสำเร็จเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศไม่สามารถบรรลุได้มานานหลายทศวรรษ ก่อนที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้รับการจัดทำและได้รับคำมั่นนำไปปฏิบัติเมื่อปี 2015

แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากความคืบหน้าในบางประเด็นแล้ว รายงานของสหประชาชาติยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายต่างๆในกระบวนการเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs ภายในปี 2030 อีกด้วย โดยการปฏิบัติ SDGs เกือบครึ่งหนึ่งมีความคืบหน้าอย่างล่าช้า และร้อยละ 18 ของ SDGs กลับถอยหลัง นาย หลี่ จุนฮว๋า รองเลขาธิการด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติกล่าวว่า ความท้าทายสำคัญๆ เกิดขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่การดำรงชีวิตของประชาชน ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงระดับโลก

 “ประชากรกว่า 800 ล้านคนยังคงตกอยู่ในภาวะยากจนขั้นรุนแรง ระดับคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ล้านปี โดยปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ สันติภาพและความมั่นคงถูกทำลายอย่างหนัก โดยมีประชาชนกว่า 120 ล้านคนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2015”

เจ้าหน้าที่สหประชาชาติระบุว่า ความเสี่ยงที่จะทำให้การบรรลุ SDGs เปลี่ยนแปลงได้ปรากฏขึ้นนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 และทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากความไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งนำไปสู่การปะทะทั่วโลก สถานการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อเด็ก ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในสังคม โดยตามรายงานสถิติที่สหประชาชาติเผยแพร่เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า อัตราการทารุณกรรมและฆาตกรรมเด็กในการปะทะเมื่อปีที่แล้วสูงที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ โดยมีคดีกว่า 41,000 คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2023 นอกจากนี้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงรุนแรงมากขึ้น สูงกว่าตัวเลขที่สำนักงานต่างๆของสหประชาชาติคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งตั้งเป้าที่จะป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมภายในปลายศตวรรษนี้ ซึ่งถือว่า “เกินกว่าการควบคุม” นับตั้งแต่ปี 2024

6 ด้านที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ

เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเปลี่ยนแปลงหรือถอยหลัง รายงานประจำปีของสหประชาชาติเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ และองค์กรต่างๆ ดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยเน้นถึง 6 ด้านที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ ระบบอาหาร การเข้าถึงพลังงาน การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล การศึกษา งานทำและสวัสดิการสังคม การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ นาย อันโตนีโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติกล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนาระดับโลก และ 6 ประเด็นที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ดังกล่าวสามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน นอกจากนี้ เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติยังเรียกร้องให้รัฐบาลและหุ้นส่วนต่างๆเร่งดำเนินการตามกรอบปฏิบัติการเมเดยิน ซึ่งสหประชาชาติได้อนุมัติในฟอรั่มฐานข้อมูลโลกเมื่อปีที่แล้ว เพื่อส่งเสริมระบบฐานข้อมูลสำคัญเพื่อสนับสนุนการวางแผนและการวางนโยบาย

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดที่สหประชาชาติและสถาบันการเงินระหว่างประเทศต้องแก้ไขในระยะสั้นคือปัญหาการเงิน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนเงินทุนให้แก่โครงการ SDGs ในประเทศต่างๆ และการลดภาระหนี้สาธารณะให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา นาง รีเบกา กรินสแปน เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาหรือ UNCTAD ระบุว่า ภาระหนี้สาธารณะส่งผลกระทบในทางลบต่อแหล่งพลังของประเทศกำลังพัฒนาเป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย SDGs ได้หลายข้อและส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน หัวหน้า UNCTAD ระบุว่า มีประชากรโลกประมาณ 3.4 พันล้านคนอาศัยอยู่ในประเทศที่ต้องชำระหนี้มากกว่าการลงทุนด้านสาธารณสุขหรือการศึกษา และสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง

“เมื่อปีที่แล้ว ประเทศกำลังพัฒนาต้องชำระหนี้ 8 แสน 4 หมื่น 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และปีนี้อยู่ที่ 9 แสน 2 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายทางการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs อยู่ที่เกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปีนี้จะบรรลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่เพียงแต่ตัวเลขจะแย่ลงเท่านั้น หากการพัฒนายังถอยหลังอีกด้วย”

นอกจากปัญหาทางการเงินแล้ว บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแสวงหาวิธีการใหม่ๆ ในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน  การส่งเสริมการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมหรือ STI ในสภาวการณ์แห่งการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ STI มีบทบาทมากขึ้น สหประชาชาติยังย้ำถึงความจำเป็นในการค้ำประกันการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมและลดช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อนำไปสู่ความก้าวหน้าอย่างครอบคลุม.

คำติชม